HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.40 “มาฝึกทักษะการใช้ความคิดเพื่อสร้างอนาคต 10 ปีข้างหน้ากัน” – SEP , 2020
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.40 “มาฝึกทักษะการใช้ความคิดเพื่อสร้างอนาคต 10 ปีข้างหน้ากัน” – SEP , 2020

28 ก.ย..2020

จดหมายข่าวฉบับนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง “ทักษะการใช้ความคิด” ครับ

“มาฝึกทักษะการใช้ความคิดเพื่อสร้างอนาคต 10 ปีข้างหน้ากัน”

การจัดอบรมทำให้ผมได้พบกับบุคคลจำนวนมาก พักหลังมานี้ ผมรู้สึกว่า “ทักษะการใช้ความคิด” ของคนจำนวนมากกำลังถดถอยลง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะในหมู่คนญี่ปุ่น คนไทย หรือคนชาติใดก็ตาม

ยกตัวอย่างนะครับ เวลาที่คนเราถูกถามว่า “เพราะอะไร” บางคนก็ตอบไม่ได้ เวลาที่เจอปัญหาการทำงาน บางคนก็ไม่สามารถออกไอเดียที่มาจากความคิดของตนเองได้ หากมองอย่างเป็นกลาง ผลลัพธ์ซึ่งได้มาโดยคัดลอกข้อมูลจาก Google นั้นแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ไม่มีการใช้ความคิด”

ปรากฏการณ์ข้างต้นนี้เกี่ยวข้องกับยุคสมัยที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่ ปัจจุบัน เว็บไซต์ทั้งหลายเช่น YouTube จะ “แนะนำ” วีดีโอที่ผู้ชมแต่ละคนน่าจะชอบ ข่าวต่าง ๆ ก็เช่นกัน ระบบได้วิเคราะห์ประวัติการอ่านของแต่ละคนแล้วแนะนำข่าวโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องค้นหาเองด้วยซ้ำ

เมื่อยุคสมัยเป็นเช่นนี้ คนเราก็เริ่มไม่มีความจำเป็นต้อง “คิดเอง” ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายก็จริง แต่ดูเหมือนว่าในทางกลับกัน มันก็มีส่วนทำให้คนเรากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องใช้สมองมากเหมือนแต่ก่อนด้วย


“งานที่ไม่ต้องใช้ความคิด” จะหายไปจากโลกนี้
เมื่อมองอย่างผิวเผินอาจจะรู้สึกว่าสภาวะข้างต้นช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย แต่ที่จริงมันคือภัยคุกคามอาชีพการงานของพวกเรา นั่นเป็นเพราะว่างานอื่น ๆ นอกจาก “งานที่ต้องใช้สมองคิด” จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร และจะค่อย ๆ หายไป

งานขับเคลื่อนเครื่องจักรโดยปฏิบัติตามคู่มือ งานกรอกข้อมูลง่าย ๆ งานที่ต้องทำเหมือนเดิมทุกวันและไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะสูญหายไปจากโลกใบนี้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ดีไม่ดีอาจจะสูญหายไปภายใน 5 ปีข้างหน้าก็ได้

”การคิด” คืองานอย่างเดียวที่โลกเหลือไว้ให้มนุษย์ การที่คนเราพยายามพัฒนา “ทักษะการใช้ความคิด” อาจจะเป็นการรับประกันว่าเราจะมีงานทำในอนาคตก็ได้ พักหลังมานี้ ผมรู้สึกถึงความเสี่ยงข้างต้นได้อย่างชัดเจน


แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังสามารถพัฒนา “ทักษะการใช้ความคิด” ได้
ระดับทักษะการใช้ความคิดนั้นขึ้นอยู่กับว่า “ที่ผ่านมาคนเราได้ใช้ความคิดมามากน้อยแค่ไหน”

แต่ละคนอ่านหนังสือมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ หรือไม่ ได้ฝึกสมองผ่านการเรียนมากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของทักษะการใช้ความคิด สิงคโปร์และเซี่ยงไฮ้นั้นเป็นสถานที่ที่คะแนนเฉลี่ยการสอบวัดระดับทางการศึกษาทั้งหลายมีค่าสูง การที่นักธุรกิจจำนวนมากมีถิ่นกำเนิดในสถานที่เหล่านี้ก็ฟังดูไม่แปลกเลย

แต่ทักษะการใช้ความคิดนั้น ต่อให้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วยการฝึกฝน แต่จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาด้วยการไปเข้าอบรมเฉย ๆ

ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของผมนะครับ อาชีพแรกของผมคือการเป็นพนักงานขายที่บริษัทผู้ผลิตแห่งหนึ่ง พอหวนคิดถึงอีกครั้งก็พบว่า ผมทำงานเดิม ๆ ทุกวันอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเพื่อทำตัวเลขให้ได้ตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนด

แต่หลังจากนั้น ผมย้ายมาทำงานในวงการผู้ให้คำปรึกษา ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ระดับ “การใช้ความคิด” ที่จำเป็นต่อการทำงานในสองวงการนี้ต่างกันมาก

พอผมจะจัดประชุม หัวหน้าก็จะถามว่า “วัตถุประสงค์ของการประชุมนี้คืออะไร” นอกจากนี้ เขายังบอกให้ผม “กำหนดเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายด้วยตัวเอง” ผมจำได้ว่าช่วงเริ่มงานใหม่ ๆ ผมตื่นตระหนก และไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย

แต่พอผมก็พยายามตอบอย่างจริงจังเสมอเมื่อหัวหน้าโยนคำถามลักษณะนี้มา ผมก็เริ่มเข้าใจความหมายของ “การคิด”

นอกจากนี้ การอ่านหนังสือจำนวนมากของ “ผู้ที่มีแนวคิดอันชาญฉลาด” เช่น ผู้ให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการต่าง ๆ ก็ทำให้ผมรู้ถึงเคล็ดลับและเทคนิคการคิดมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้น ผมก็เริ่มแยกแยะระหว่าง “สภาวะที่ผ่านการคิด” กับ “สภาวะที่ยังไม่ผ่านการคิด” ได้ ส่งผลให้สามารถสร้างผลงานได้ในที่สุด

การพัฒนาตนข้างต้นคือการเดินทางที่ค่อยเป็นค่อยไป กว่าผมจะรู้สึกได้ว่า “ทักษะการใช้ความคิดดีขึ้น” นั้น เวลาก็ผ่านไปประมาณ 3 – 5 ปีแล้ว ทักษะการใช้ความคิดนั้นต้องอาศัยเวลาค่อย ๆ พัฒนา เหมือนกับตอนที่คนเราต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ไม่มีใครที่ไปฟิตเนสวันสองวันแล้วได้กล้ามเนื้อเลยทันที การที่ผมได้รับโอกาสทำงานด้านการให้คำปรึกษาในปัจจุบันอยู่นั้น ก็คงเป็นเพราะทักษะการใช้ความคิดที่ฝึกฝนในสมัยยังอายุน้อยนี่ล่ะครับ

ทักษะการใช้ความคิดนั้นเปรียบได้กับความสามารถของ “CPU หรือหน่วยประมวลผลกลาง” ในคอมพิวเตอร์ของทุกท่าน ชิ้นส่วนนี้เป็นพื้นฐานให้กับองค์ประกอบอื่น ๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะติดตั้งโปรแกรมที่ดีแค่ไหนก็ตาม ถ้า CPU ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะไม่ดีขึ้น ในทางกลับกัน ถ้า CPU มีประสิทธิภาพสูง ก็จะสามารถใช้แอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ ได้ทันที ทักษะด้านการใช้ความคิดซึ่งเป็นพื้นฐานของทักษะอื่น ๆ นั้น คือสิ่งที่ขาดไปไม่ได้หากต้องการสร้างผลงานในระยะยาว


ข้อปฏิบัติ 3 ประการที่จำเป็นต่อการพัฒนาทักษะการใช้ความคิด
ถ้าเช่นนั้น เราควรจะทำอย่างไรดี ผมขอแนะนำข้อปฏิบัติ 3 ประการไว้ ณ ที่นี้

1. “เขียน” อะไรก็ได้
พฤติกรรม “การเขียน” นั้นเทียบเท่าพฤติกรรม “การคิด”

”การพูด” นั้นอาจเกิดขึ้นโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง แต่เวลาที่คนเราพยายามเรียบเรียงอะไรบางอย่างออกมาเป็นประโยค คนเราไม่สามารถละเว้นขั้นตอนการคิดถึงตรรกะและความเชื่อมโยงได้ ด้วยเหตุนี้ พฤติกรรม “การเขียน” จึงเป็นการฝึกฝนทักษะการใช้ความคิด

Benjamin Franklin กล่าวไว้ว่า “การเขียนทำให้คนเป็นผู้เป็นคน” การเขียนทำให้คนเราได้ใช้ความคิด และในที่สุดก็จะส่งผลให้ความคิดตกผลึกยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน คุณผู้อ่าน “เขียน” อย่างเป็นกิจวัตรหรือไม่

ผมว่ามีหลายท่านที่มีโอกาสได้เขียนรายงานอยู่บ่อย ๆ สมัยเป็นนักเรียน ตอนเพิ่งเริ่มทำงาน ก็คงมีหลายท่านที่ต้องเขียนรายงานทุกสัปดาห์ แต่พอทำงานมาได้ระยะหนึ่ง ระยะเวลาที่เราถูกบังคับให้ใช้ความคิดเพื่อเขียนอะไรบางอย่างนั้นก็จะลดลง

ถ้าอยากฝึกทักษะการใช้ความคิด ก็ควรสร้างกิจวัตร “การเขียน” ขึ้นมาอย่างจงใจ อาจจะเขียนไดอารี่ หรือเขียนบล็อกออนไลน์ก็ได้ การเขียนอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นการฝึกทักษะการใช้ความคิด

2. อ่านหนังสือ
สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเขียนเลยก็คือ “การอ่าน” จะอ่านหนังสือกระดาษหรือหนังสือออนไลน์ก็ได้ คุณผู้อ่านทุกท่านอ่านหนังสือบ่อยไหมครับ

บางท่านถามผมว่าถ้าไม่ได้อ่านหนังสือ แต่อ่านบล็อกออนไลน์และดู YouTube แทนได้ไหม ผมมักตอบว่าสื่อข้างต้นไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่การดูวีดีโอนั้น คนเรามักจะรับข้อมูลโดยไม่ตื่นตัวนัก จึงจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง การเปิดวีดีโอแล้วปล่อยให้วีดีโอเล่นไปเรื่อย ๆ แล้วก็คิดไปเองว่าตนได้เรียนรู้แล้วนั้น ไม่ได้ช่วยพัฒนาทักษะการใช้ความคิด จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง

ตอนอ่านหนังสือ ขอให้เตรียมกระดาษและปากกาไว้ขีดใต้ข้อความสำคัญ หรือจดบันทึกใจความสำคัญ ขั้นตอนข้างต้นจะเป็น “การเอาความคิดองตนเองมาเผชิญหน้ากับเนื้อหาในหนังสือ“ มันคือการ “อ่านไปคิดไป” (หนังสือออนไลน์จะมีฟังก์ชั่นสำหรับจดบันทึก คุณสามารถใช้ได้เช่นกัน)

3. ทำให้เป็นกิจวัตร
สุดท้ายนี้ ควรพิจารณาว่าจะสอดแทรก “การเขียน” และ “การอ่าน” เข้าไปในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชอบความยุ่งยาก ดังนั้น ต่อให้ตั้งใจว่าจะเริ่มทำสิ่งใหม่ทีละเล็กทีละน้อยในทุก ๆ วัน ก็มักจะทำได้ไม่ค่อยต่อเนื่อง

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหาทางสร้างกิจวัตรเชิงบังคับ เช่น เขียนไดอารี่แล้วส่งให้คนในทีมอ่าน หรือชวนผู้อื่นมาอ่านหนังสือด้วยกันเดือนละ 1 เล่ม เป็นต้น

สิ่งที่ทีมงาน Asian Identity กำลังทำอยู่คือ “การเขียนเพื่อทบทวนตนเองวันละ 5 นาที” แค่ทำแบบนี้ต่อเนื่องทุกวัน ก็จะค่อย ๆ ติดนิสัยชอบครุ่นคิด ทั้งนี้ เวลาที่คิดเองแค่คนเดียว ทักษะอาจจะไม่ค่อยพัฒนาขึ้น การได้เห็นความคิดของผู้อื่นจะส่งเสริมความคิดของตัวเรา

ในย่อหน้าก่อนหน้านี้ ผมเขียนว่า “ผมอ่านหนังสือจำนวนมากซึ่งเขียนโดยผู้ที่มีแนวคิดอันชาญฉลาด” กล่าวให้ตรงประเด็นกว่านั้นได้ว่า การรับรู้แนวคิดของคนที่เฉลียวฉลาดมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง การอ่านหนังสือนั้นเป็นวิธีเข้าถึงความคิดของคนเก่ง ๆ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ

เช่นเดียวกัน ถ้าได้รับรู้ถึงความคิดของหัวหน้าหรือรุ่นพี่ที่ทำงานที่เก่งกว่าตนอย่างต่อเนื่อง ทักษะการใช้ความคิดของทุกท่านก็น่าจะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน

ผมขอจบจดหมายข่าวฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าเนื้อหาเรื่อง “ทักษะการใช้ความคิด” ข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านทุกท่าน รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพนักงานของท่านครับ

———————–

*ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าเป็นไปได้ ขอให้คุณผู้อ่านแชร์จดหมายข่าวนี้ให้แก่คนรู้จักหรือเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นด้วยนะครับ

Link: https://hr-egg-jp.asian-identity.com/newsletter/sep-2020

*ทีมผู้จัดทำ AI Newsletter ยินดีรับฟังความเห็นและตอบคำถามของคุณผู้อ่านครับ! คุณสามารถส่งอีเมลแสดงความคิดเห็น หรือสอบถามมายัง info@a-identity.asia ได้เลยนะครับ! ขอโอกาสให้ผมได้ลองเขียนบทความในลักษณะถามตอบกับคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยนะครับ

Credit:
Photo by Drew Beamer from Unsplash
Photo by John Schnobrich from Unsplash
Photo by Lucas from Unsplash
Photo from Ben White from Unsplash
Photo by Aaron Burden from Unsplash

 

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]