Newsletter
“เราจะพัฒนาคนได้อย่างไร” เป็นหัวข้อคำถามที่มักมีคนเข้ามาปรึกษาผมบ่อย ๆ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ ดังนั้น วิธีที่หัวหน้าและองค์กรปฏิบัติต่อพนักงานจึงมีความสำคัญมาก อีกทั้ง มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรที่เราจะสามารถพัฒนาพวกเขาได้ทันทีเพียงแค่ “กดปุ่ม” แล้วเขาจะพัฒนาได้เลย ดังนั้น คำถามที่ว่า “เราจะพัฒนาคนได้อย่างไร” จึงยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนครับ
อย่างไรก็ตาม “ค่านิยมที่ผู้นำใช้มองผู้อื่น” คือ จุดร่วมสำคัญในการพัฒนาคน เพราะค่านิยมของผู้นำส่งผลอย่างมากต่อผลลัพธ์ในการพัฒนาคน จากการสังเกตผู้นำที่มีความสามารถหลายคน ผมพบว่าพวกเขามีแนวคิดและแนวทางปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน
ใน Newsletter ฉบับที่ 61 นี้ ผมจะขอนำเสนอ 5 แนวคิดที่เสริม “ค่านิยมที่ผู้นำใช้มองผู้อื่น” ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นครับ

1. อย่าคิดว่า “ทำไม่ได้” ให้คิดว่า “ยังทำไม่ได้”
ผู้นำหลายคนมักรีบตัดสินผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยังไม่สามารถสร้างผลงานได้ว่า “คนนี้ไม่มีความสามารถ” แต่ในการส่งเสริมการพัฒนาของผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้นำควรเปลี่ยนมุมมองเป็น “ยังทำไม่ได้” แทนที่จะคิดว่า “ทำไม่ได้”
คำว่า “ทำไม่ได้” กับ “ยังทำไม่ได้” อาจแตกต่างกันเล็กน้อย และเป็นเพียงเส้นกั้นบาง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้นำจะเลิกคาดหวังในตัวของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือไม่ หากผู้นำพูดว่า “ทำไม่ได้” นี่เป็นการสรุปว่า เขาจะไม่คาดหวังอะไรกับคนนี้อีก ผู้ใต้บังคับบัญชาเองก็จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเบื้องหลังคำพูด โดยเฉพาะจากสีหน้าและน้ำเสียงได้อย่างชัดเจน และจะเข้าใจว่า “เขาหมดหวังในตัวเราแล้ว”
ในทางกลับกัน หากผู้นำมีแนวคิดว่า “ยังทำไม่ได้” นี่จะหมายถึง การให้โอกาสอีกครั้งแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา การค้นหาวิธีการสนับสนุนใหม่ ๆ และนำไปสู่การลองผิดลองถูกและเรียนรู้ร่วมกัน และช่วยให้พวกเขาพัฒนาตนเองได้ในที่สุด
2. คิดว่า “มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแหละ”
ในบางครั้ง เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาทำผิดพลาด ผู้นำหลายคนมักอยากตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น “สอนไปแล้วนี่นา” “เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้เหรอ” ทว่า ผู้นำมีที่ประสบการณ์ในการพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชามักมองว่า ต้องมีเหตุผลเบื้องหลังข้อผิดพลาดของผู้ใต้บังคับบัญชาแน่นอน แนวคิดนี้ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องยอมรับการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการมุ่งเน้นไปที่การพยายามทำความเข้าใจว่า “ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้”
ตัวอย่างเช่น
ผู้บังคับบัญชาหลายคนมักรีบด่วนสรุปว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนขี้เกียจ” หรือ “เขาเป็นคนชอบทำงานพลาด” เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาไม่สามารถส่งงานของโปรเจ็คใหม่ให้ทันตามเวลาที่กำหนด ทว่า ผู้นำที่มีความสามารถในการพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่คิดแบบนี้แต่จะมองหาเหตุผลเบื้องหลังที่มองไม่เห็น และพยายามจินตนาการหาความเป็นไปได้อื่น เช่น “ปกติเขาไม่ทำพลาดเรื่องแบบนี้นี่นา” “เขามีทรัพยากรไม่พอทำงานหรือเปล่านะ” “ที่บ้านอาจจะมีปัญหาอะไรแล้วยังจัดการเวลาไม่ได้หรือเปล่านะ” ถ้าเราคิดแบบนี้และเข้าไปพูดคุย รับฟังเรื่องราวของเขาโดยตรง เราอาจจะเข้าใจเขามากขึ้น และอาจได้รับรู้เรื่องกลุ้มใจหรือสภาพการณ์ที่มีปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ของเขาก็ได้
แน่นอนว่าบางครั้งมันอาจจะไม่มี “เหตุผลเบื้องหลังที่ซ่อนอยู่” แต่เป็นเพราะ “เขาขี้เกียจจริง ๆ” ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ควรที่จะให้การตักเตือนหรือชี้แนะอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มักตัดสินสิ่งต่าง ๆ ตามสัญชาติญาณของตัวเอง เราจึงควรตระหนักอยู่เสมอว่า อย่าเผลอรีบด่วนตัดสินใจเกินไปโดยที่ยังไม่ได้มองภาพรวมทั้งหมด
3. “อย่าเกลียดที่ตัวคน แต่จงเกลียดที่ปัญหา””
เราควรใช้แนวคิด “อย่าเกลียดที่“ตัวคน” แต่จงเกลียดที่ปัญหา” ในการแก้ปัญหา
ตัวอย่างเช่น
หากมีคนที่ทำผิดพลาดซ้ำซากและมักถูกตำหนิว่า “ทำไมคุณถึงทำพลาดอยู่เรื่อย” การพูดแบบนี้เป็นการโจมตีตัวบุคคลโดยตรง ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้แรงจูงใจของเขาลดลง แต่ยังทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอีกด้วย แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนมาใช้แนวคิดว่า “มาช่วยกันคิดกัน ทำยังไงถึงจะไม่พลาดซ้ำอีก” วิธีนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงการโจมตีบุคคลและสามารถพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ได้
ผู้นำที่ไม่ถนัดในการพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชามักเชื่อมโยงปัญหาเข้ากับ “ตัวบุคคล” เช่น ใช้คำพูดว่า “เขาไม่มีความเป็นผู้นำ” “เขาไม่กระตือรือร้น” การมุ่งเป้าไปที่ตัวตนของเขาในลักษณะนี้คือ การใช้แนวคิด “เกลียดตัวคน” ซึ่งไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนักในการแก้ปัญหา เช่น ถ้าเราบอกว่า “กระตือรือร้นให้มากขึ้นหน่อยสิ” ก็มักไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะส่วนใหญ่คนมักจะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร สุดท้ายก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยน ดังนั้น ผู้จัดการที่ขาดประสบการณ์มักจะพยายามแก้ปัญหาโดยการโฟกัสไปที่ตัวคน

4. ให้มองว่า “จุดแข็ง” และ “จุดอ่อน” เป็นสิ่งที่มาคู่กัน
เรามักประเมินผู้อื่นในแง่ลบอย่างง่ายได้ด้วยการคิดว่า “เรื่องนี้ไม่ดี” หรือ “นี่คือจุดอ่อน” แต่ในความเป็นจริงแล้ว จุดแข็งและจุดอ่อนของมนุษย์เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้าน และไม่ได้แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เช่น “ความจู้จี้จุกจิก” อาจดูเหมือนเป็นจุดอ่อน แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นจุดแข็งที่ช่วยให้เขาพิจารณางานอย่างรอบคอบและลดข้อผิดพลาดได้ หรือ “การทำงานล่าช้า” ที่ดูเหมือนเป็นจุดด้อย ก็อาจสะท้อนถึง “ความใจเย็นและทำงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน” ซึ่งเป็นข้อดีที่ซ่อนอยู่ได้เช่นกัน
ผู้นำที่เก่งในการพัฒนาผู้อื่นจะไม่ลืมแนวคิดนี้ พวกเขามองว่า เรื่องที่ดูเหมือน “ข้อเสีย” ก็อาจเป็น “ข้อดี” ได้ ขึ้นอยู่กับมุมมองและสถานการณ์ และพยายามดึงข้อดีเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ เช่น การบอกว่า “คุณอาจจะต้องเร่งทำงานให้เร็วขึ้นอีกหน่อยนะ แต่ก็อยากให้รักษาความละเอียดรอบคอบของคุณเอาไว้” วิธีการพูดในลักษณะนี้จะช่วยรักษาความมั่นใจในตัวเองของลูกน้อง พร้อมกระตุ้นให้เขามีความพยายามปรับปรุงตัวเองมากขึ้น
ทัศนคติและแนวทางปฏิบัติแบบนี้จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณรู้สึกมั่นใจว่า “ตนไม่ได้ถูกมองข้าม” และสามารถพยายามแก้ไขจุดอ่อนของตัวเองได้อย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องเชื่อมั่นว่า ทุกคนมีจุดแข็งที่พัฒนาได้เสมอ
5. บอกสิ่งที่ควรปรับปรุงอย่างตรงไปตรงมา
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจสงสัยว่า “เป็นหัวหน้าที่ใจดีขนาดนี้จะดีจริงหรือ” แน่นอนว่าเราไม่ควรที่จะชมผู้ใต้บังคับบัญชาไปเสียทุกเรื่อง หรือยอมรับทุกอย่างโดยไม่มีข้อจำกัด การชี้ให้เห็นจุดที่ต้องปรับปรุงอย่างตรงไปตรงมาและการสื่อสารอย่างจริงใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ผู้นำที่คอยพัฒนาผู้อื่นมักมีภาพลักษณ์ว่าเป็นคน “เข้มงวดในเวลางาน” พวกเขาจำเป็นต้องมีทักษะสื่อสารสิ่งที่ควรพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่ต้องคำนึงในการสื่อสาร ดังนี้
– วิธีการพูด คือ สิ่งสำคัญที่สุด (80% ของการสื่อสาร)
น้ำเสียงและคำพูดมีความหมายอย่างมาก ควรหลีกเลี่ยงการพูดด้วยอารมณ์ ชี้ให้เห็นจุดที่ต้องปรับปรุงอย่างใจเย็นโดยยกตัวอย่างให้ชัดเจน เช่น เหตุการณ์ ตัวเลข พฤติกรรมที่สังเกตได้ สิ่งนี้ต้องอาศัยความมั่นคงทางอารมณ์ของผู้นำ เพราะผู้บังคับบัญชาที่อารมณ์ร้อนมักจะเผลอแสดงความไม่พอใจออกมาผ่านคำพูดโดยไม่รู้ตัว
– จังหวะเวลา คือ หัวใจสำคัญ
ความรู้สึกของคนก็เหมือนกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน ควรเลือกจังหวะที่อีกฝ่ายมีสภาพจิตใจสงบพอที่จะรับฟังฟีดแบคได้ หากอีกฝ่ายกำลังเครียดหรืออารมณ์ไม่ดี การให้ฟีดแบคในช่วงนั้นมักจะไม่ได้ผล เหมือนการออกไปปิกนิกในวันที่ฝนตก
– การควบคุม “ความยาวของเชือก”
คำแนะนำและคำชี้แนะเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาคน แต่เราต้องให้ในปริมาณที่เหมาะสม คนที่มีประสบการณ์น้อยอาจจะต้องการคำแนะนำมากกว่า แต่สำหรับคนที่มีประสบการณ์แล้ว การให้คำแนะนำที่เยอะเกินไปอาจลดโอกาสให้เขาได้พัฒนาตนเอง เราควรปรับ “ความยาวของเชือก” ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เขาสามารถปีนขึ้นหน้าผาได้ด้วยตัวเอง
* ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ! คลิกที่นี่
* ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่น อ่านที่นี่
* ข้อเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรรูปแบบ In-house คลิกที่นี่

Katsuhiro Nakamura (Jack)
CEO & Founder, Asian Identity Co., Ltd.
ดำเนินกิจการบริษัท Asian Identity องค์กรให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งมีความชำนาญงานในภูมิภาคเอเชีย และ มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้น ดำรงตำแหน่งปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์ทำงานที่บริษัท Nestlé บริษัท Link and Motivation และ บริษัท GLOBIS ปัจจุบันรับผิดชอบงานด้านการให้คำปรึกษา และ จัดอบรมในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยมีสำนักงานในประเทศไทย ระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพ ยังได้เขียน และ จำหน่ายหนังสือ “สู้สู้ PIM! (Su Su Pim!)” การ์ตูนให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจสำหรับชาวไทยด้วย
– Certified Facilitator of LEGO® SERIOUS PLAY®
– Completed ORSC™ – Organization and Relationship System Coaching Practical Application Course
– Certified Facilitator of Hofstede Insight Organizational Culture (วัฒนธรรมองค์กร)
– CoachingOurselves Facilitator
24 ต.ค., 2018
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.19 “PROUD OF WORKING AT NTN”
17 ก.ค., 2020
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.38 เทคนิคสองประการสำหรับการบริหารจัดการองค์กรในยุค “New Normal”
24 มี.ค., 2018
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.12 การเปิดใจยอมรับและใช้ความเป็นผู้นําในการปรับ เปลี่ยนองค์กร