Newsletter
จดหมายข่าวฉบับนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง “ทักษะการใช้ความคิด” ครับ

การจัดอบรมทำให้ผมได้พบกับบุคคลจำนวนมาก พักหลังมานี้ ผมรู้สึกว่า “ทักษะการใช้ความคิด” ของคนจำนวนมากกำลังถดถอยลง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะในหมู่คนญี่ปุ่น คนไทย หรือคนชาติใดก็ตาม
ยกตัวอย่างนะครับ เวลาที่คนเราถูกถามว่า “เพราะอะไร” บางคนก็ตอบไม่ได้ เวลาที่เจอปัญหาการทำงาน บางคนก็ไม่สามารถออกไอเดียที่มาจากความคิดของตนเองได้ หากมองอย่างเป็นกลาง ผลลัพธ์ซึ่งได้มาโดยคัดลอกข้อมูลจาก Google นั้นแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ไม่มีการใช้ความคิด”
ปรากฏการณ์ข้างต้นนี้เกี่ยวข้องกับยุคสมัยที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่ ปัจจุบัน เว็บไซต์ทั้งหลายเช่น YouTube จะ “แนะนำ” วีดีโอที่ผู้ชมแต่ละคนน่าจะชอบ ข่าวต่าง ๆ ก็เช่นกัน ระบบได้วิเคราะห์ประวัติการอ่านของแต่ละคนแล้วแนะนำข่าวโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องค้นหาเองด้วยซ้ำ
เมื่อยุคสมัยเป็นเช่นนี้ คนเราก็เริ่มไม่มีความจำเป็นต้อง “คิดเอง” ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายก็จริง แต่ดูเหมือนว่าในทางกลับกัน มันก็มีส่วนทำให้คนเรากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องใช้สมองมากเหมือนแต่ก่อนด้วย

“งานที่ไม่ต้องใช้ความคิด” จะหายไปจากโลกนี้
เมื่อมองอย่างผิวเผินอาจจะรู้สึกว่าสภาวะข้างต้นช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย แต่ที่จริงมันคือภัยคุกคามอาชีพการงานของพวกเรา นั่นเป็นเพราะว่างานอื่น ๆ นอกจาก “งานที่ต้องใช้สมองคิด” จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร และจะค่อย ๆ หายไป
งานขับเคลื่อนเครื่องจักรโดยปฏิบัติตามคู่มือ งานกรอกข้อมูลง่าย ๆ งานที่ต้องทำเหมือนเดิมทุกวันและไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะสูญหายไปจากโลกใบนี้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ดีไม่ดีอาจจะสูญหายไปภายใน 5 ปีข้างหน้าก็ได้
”การคิด” คืองานอย่างเดียวที่โลกเหลือไว้ให้มนุษย์ การที่คนเราพยายามพัฒนา “ทักษะการใช้ความคิด” อาจจะเป็นการรับประกันว่าเราจะมีงานทำในอนาคตก็ได้ พักหลังมานี้ ผมรู้สึกถึงความเสี่ยงข้างต้นได้อย่างชัดเจน

แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังสามารถพัฒนา “ทักษะการใช้ความคิด” ได้
ระดับทักษะการใช้ความคิดนั้นขึ้นอยู่กับว่า “ที่ผ่านมาคนเราได้ใช้ความคิดมามากน้อยแค่ไหน”
แต่ละคนอ่านหนังสือมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ หรือไม่ ได้ฝึกสมองผ่านการเรียนมากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของทักษะการใช้ความคิด สิงคโปร์และเซี่ยงไฮ้นั้นเป็นสถานที่ที่คะแนนเฉลี่ยการสอบวัดระดับทางการศึกษาทั้งหลายมีค่าสูง การที่นักธุรกิจจำนวนมากมีถิ่นกำเนิดในสถานที่เหล่านี้ก็ฟังดูไม่แปลกเลย
แต่ทักษะการใช้ความคิดนั้น ต่อให้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วยการฝึกฝน แต่จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาด้วยการไปเข้าอบรมเฉย ๆ
ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของผมนะครับ อาชีพแรกของผมคือการเป็นพนักงานขายที่บริษัทผู้ผลิตแห่งหนึ่ง พอหวนคิดถึงอีกครั้งก็พบว่า ผมทำงานเดิม ๆ ทุกวันอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเพื่อทำตัวเลขให้ได้ตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนด
แต่หลังจากนั้น ผมย้ายมาทำงานในวงการผู้ให้คำปรึกษา ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ระดับ “การใช้ความคิด” ที่จำเป็นต่อการทำงานในสองวงการนี้ต่างกันมาก
พอผมจะจัดประชุม หัวหน้าก็จะถามว่า “วัตถุประสงค์ของการประชุมนี้คืออะไร” นอกจากนี้ เขายังบอกให้ผม “กำหนดเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายด้วยตัวเอง” ผมจำได้ว่าช่วงเริ่มงานใหม่ ๆ ผมตื่นตระหนก และไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย
แต่พอผมก็พยายามตอบอย่างจริงจังเสมอเมื่อหัวหน้าโยนคำถามลักษณะนี้มา ผมก็เริ่มเข้าใจความหมายของ “การคิด”
นอกจากนี้ การอ่านหนังสือจำนวนมากของ “ผู้ที่มีแนวคิดอันชาญฉลาด” เช่น ผู้ให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการต่าง ๆ ก็ทำให้ผมรู้ถึงเคล็ดลับและเทคนิคการคิดมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้น ผมก็เริ่มแยกแยะระหว่าง “สภาวะที่ผ่านการคิด” กับ “สภาวะที่ยังไม่ผ่านการคิด” ได้ ส่งผลให้สามารถสร้างผลงานได้ในที่สุด
การพัฒนาตนข้างต้นคือการเดินทางที่ค่อยเป็นค่อยไป กว่าผมจะรู้สึกได้ว่า “ทักษะการใช้ความคิดดีขึ้น” นั้น เวลาก็ผ่านไปประมาณ 3 – 5 ปีแล้ว ทักษะการใช้ความคิดนั้นต้องอาศัยเวลาค่อย ๆ พัฒนา เหมือนกับตอนที่คนเราต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ไม่มีใครที่ไปฟิตเนสวันสองวันแล้วได้กล้ามเนื้อเลยทันที การที่ผมได้รับโอกาสทำงานด้านการให้คำปรึกษาในปัจจุบันอยู่นั้น ก็คงเป็นเพราะทักษะการใช้ความคิดที่ฝึกฝนในสมัยยังอายุน้อยนี่ล่ะครับ
ทักษะการใช้ความคิดนั้นเปรียบได้กับความสามารถของ “CPU หรือหน่วยประมวลผลกลาง” ในคอมพิวเตอร์ของทุกท่าน ชิ้นส่วนนี้เป็นพื้นฐานให้กับองค์ประกอบอื่น ๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะติดตั้งโปรแกรมที่ดีแค่ไหนก็ตาม ถ้า CPU ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะไม่ดีขึ้น ในทางกลับกัน ถ้า CPU มีประสิทธิภาพสูง ก็จะสามารถใช้แอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ ได้ทันที ทักษะด้านการใช้ความคิดซึ่งเป็นพื้นฐานของทักษะอื่น ๆ นั้น คือสิ่งที่ขาดไปไม่ได้หากต้องการสร้างผลงานในระยะยาว

ข้อปฏิบัติ 3 ประการที่จำเป็นต่อการพัฒนาทักษะการใช้ความคิด
ถ้าเช่นนั้น เราควรจะทำอย่างไรดี ผมขอแนะนำข้อปฏิบัติ 3 ประการไว้ ณ ที่นี้
1. “เขียน” อะไรก็ได้
พฤติกรรม “การเขียน” นั้นเทียบเท่าพฤติกรรม “การคิด”
”การพูด” นั้นอาจเกิดขึ้นโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง แต่เวลาที่คนเราพยายามเรียบเรียงอะไรบางอย่างออกมาเป็นประโยค คนเราไม่สามารถละเว้นขั้นตอนการคิดถึงตรรกะและความเชื่อมโยงได้ ด้วยเหตุนี้ พฤติกรรม “การเขียน” จึงเป็นการฝึกฝนทักษะการใช้ความคิด
Benjamin Franklin กล่าวไว้ว่า “การเขียนทำให้คนเป็นผู้เป็นคน” การเขียนทำให้คนเราได้ใช้ความคิด และในที่สุดก็จะส่งผลให้ความคิดตกผลึกยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน คุณผู้อ่าน “เขียน” อย่างเป็นกิจวัตรหรือไม่
ผมว่ามีหลายท่านที่มีโอกาสได้เขียนรายงานอยู่บ่อย ๆ สมัยเป็นนักเรียน ตอนเพิ่งเริ่มทำงาน ก็คงมีหลายท่านที่ต้องเขียนรายงานทุกสัปดาห์ แต่พอทำงานมาได้ระยะหนึ่ง ระยะเวลาที่เราถูกบังคับให้ใช้ความคิดเพื่อเขียนอะไรบางอย่างนั้นก็จะลดลง
ถ้าอยากฝึกทักษะการใช้ความคิด ก็ควรสร้างกิจวัตร “การเขียน” ขึ้นมาอย่างจงใจ อาจจะเขียนไดอารี่ หรือเขียนบล็อกออนไลน์ก็ได้ การเขียนอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นการฝึกทักษะการใช้ความคิด
2. อ่านหนังสือ
สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเขียนเลยก็คือ “การอ่าน” จะอ่านหนังสือกระดาษหรือหนังสือออนไลน์ก็ได้ คุณผู้อ่านทุกท่านอ่านหนังสือบ่อยไหมครับ
บางท่านถามผมว่าถ้าไม่ได้อ่านหนังสือ แต่อ่านบล็อกออนไลน์และดู YouTube แทนได้ไหม ผมมักตอบว่าสื่อข้างต้นไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่การดูวีดีโอนั้น คนเรามักจะรับข้อมูลโดยไม่ตื่นตัวนัก จึงจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง การเปิดวีดีโอแล้วปล่อยให้วีดีโอเล่นไปเรื่อย ๆ แล้วก็คิดไปเองว่าตนได้เรียนรู้แล้วนั้น ไม่ได้ช่วยพัฒนาทักษะการใช้ความคิด จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง
ตอนอ่านหนังสือ ขอให้เตรียมกระดาษและปากกาไว้ขีดใต้ข้อความสำคัญ หรือจดบันทึกใจความสำคัญ ขั้นตอนข้างต้นจะเป็น “การเอาความคิดองตนเองมาเผชิญหน้ากับเนื้อหาในหนังสือ“ มันคือการ “อ่านไปคิดไป” (หนังสือออนไลน์จะมีฟังก์ชั่นสำหรับจดบันทึก คุณสามารถใช้ได้เช่นกัน)
3. ทำให้เป็นกิจวัตร
สุดท้ายนี้ ควรพิจารณาว่าจะสอดแทรก “การเขียน” และ “การอ่าน” เข้าไปในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชอบความยุ่งยาก ดังนั้น ต่อให้ตั้งใจว่าจะเริ่มทำสิ่งใหม่ทีละเล็กทีละน้อยในทุก ๆ วัน ก็มักจะทำได้ไม่ค่อยต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหาทางสร้างกิจวัตรเชิงบังคับ เช่น เขียนไดอารี่แล้วส่งให้คนในทีมอ่าน หรือชวนผู้อื่นมาอ่านหนังสือด้วยกันเดือนละ 1 เล่ม เป็นต้น
สิ่งที่ทีมงาน Asian Identity กำลังทำอยู่คือ “การเขียนเพื่อทบทวนตนเองวันละ 5 นาที” แค่ทำแบบนี้ต่อเนื่องทุกวัน ก็จะค่อย ๆ ติดนิสัยชอบครุ่นคิด ทั้งนี้ เวลาที่คิดเองแค่คนเดียว ทักษะอาจจะไม่ค่อยพัฒนาขึ้น การได้เห็นความคิดของผู้อื่นจะส่งเสริมความคิดของตัวเรา
ในย่อหน้าก่อนหน้านี้ ผมเขียนว่า “ผมอ่านหนังสือจำนวนมากซึ่งเขียนโดยผู้ที่มีแนวคิดอันชาญฉลาด” กล่าวให้ตรงประเด็นกว่านั้นได้ว่า การรับรู้แนวคิดของคนที่เฉลียวฉลาดมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง การอ่านหนังสือนั้นเป็นวิธีเข้าถึงความคิดของคนเก่ง ๆ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ
เช่นเดียวกัน ถ้าได้รับรู้ถึงความคิดของหัวหน้าหรือรุ่นพี่ที่ทำงานที่เก่งกว่าตนอย่างต่อเนื่อง ทักษะการใช้ความคิดของทุกท่านก็น่าจะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน
ผมขอจบจดหมายข่าวฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าเนื้อหาเรื่อง “ทักษะการใช้ความคิด” ข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านทุกท่าน รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพนักงานของท่านครับ
———————–
* ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ! คลิกที่นี่
* ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่น อ่านที่นี่
* ข้อเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรรูปแบบ In-house คลิกที่นี่
*ทีมผู้จัดทำ AI Newsletter ยินดีรับฟังความเห็นและตอบคำถามของคุณผู้อ่านครับ! คุณสามารถส่งอีเมลแสดงความคิดเห็น หรือสอบถามมายัง info@a-identity.asia ได้เลยนะครับ! ขอโอกาสให้ผมได้ลองเขียนบทความในลักษณะถามตอบกับคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยนะครับ
Credit:
Photo by Drew Beamer from Unsplash
Photo by John Schnobrich from Unsplash
Photo by Lucas from Unsplash
Photo from Ben White from Unsplash
Photo by Aaron Burden from Unsplash

Katsuhiro Nakamura (Jack)
CEO & Founder, Asian Identity Co., Ltd.
ดำเนินกิจการบริษัท Asian Identity องค์กรให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งมีความชำนาญงานในภูมิภาคเอเชีย และ มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้น ดำรงตำแหน่งปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์ทำงานที่บริษัท Nestlé บริษัท Link and Motivation และ บริษัท GLOBIS ปัจจุบันรับผิดชอบงานด้านการให้คำปรึกษา และ จัดอบรมในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยมีสำนักงานในประเทศไทย ระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพ ยังได้เขียน และ จำหน่ายหนังสือ “สู้สู้ PIM! (Su Su Pim!)” การ์ตูนให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจสำหรับชาวไทยด้วย
– Certified Facilitator of LEGO® SERIOUS PLAY®
– Completed ORSC™ – Organization and Relationship System Coaching Practical Application Course
– Certified Facilitator of Hofstede Insight Organizational Culture (วัฒนธรรมองค์กร)
– CoachingOurselves Facilitator
07 ต.ค., 2025
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.64 “คำที่ว่า “มองไม่เห็นเส้นทางสายอาชีพ (Career Path)” หมายความว่าอย่างไร?”
24 ก.พ., 2018
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.11 เสริมทักษะการพิจารณาคน
24 มี.ค., 2017
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.2 งานที่สําคัญท่ีสุดของคนที่ทําหน้าที่ผู้นําในองค์กร