พี่ ๆ หรือหัวหน้าทีมแต่ละคนต้องใส่ใจในปฏิกิริยา และการใช้คำพูด (โดยเฉพาะการพิมพ์โต้ตอบมากขึ้น) เพราะน้อง ๆ อาจจะเสียกำลังไจจากสาเหตุง่าย ๆ เช่น Reaction ที่ไม่ชัดเจน หรือไม่ได้ใส่ใจ เข้าใจผิดจากการโต้ตอบผ่านตัวอักษรที่สั้นเกินไป หรือจากแม้กระทั่งการตอบคำถามหรือให้ความช่วยเหลือที่บางครั้งอาจล่าช้าจนเกินไป การเดาความคิดการกระทำกันโดยไม่ได้เช็คหาความจริง เป็นต้น
3. ต้องปรับตัวเข้าหาวิธีการทำงานของแต่ละสมาชิกมากขึ้น โดยยึดวิธีการทำงานของคนใดคนหนึ่งให้น้อยลง
เมื่อต่างคนต่างทำงานจากคนละสิ่งแวดล้อม แต่ละคนจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์แวดล้อมในการทำงานใหม่ ซึ่งหลาย ๆ คนเลือกที่จะกลับมาเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เลือกใช้วิธีการทำงานที่ถนัดที่สุดของตนเองมากขึ้น และวิธีการทำงานที่คิดว่าดีของคน ๆ นึง จึงอาจไม่สามารถตอบโจทย์สถานการณ์แวดล้อมของอีกคนนึงได้ การบังคับใช้วิธีการทำงานที่เคร่งครัดเกินไปโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ปรับวิธีการทำงาน อาจจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานยิ่งแย่ลงก็เป็นได้ ซึ่งการทำงานแบบ Flexible style จึงกลายเป็นคีย์สำคัญ ว่าจะยืดหยุ่นให้ได้มากเท่าไหร่ และจะหาจุดตรงกลางให้การทำงานร่วมกันยังเกิดขึ้นได้อย่างเพียงพออย่างไร
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังไม่แน่นอน การเดินทางข้ามประเทศยังมีขัอจำกัดด้านเวลาและเราอาจจะยังไม่สามารถควบคุมตารางเดินทางได้ดั่งใจเหมือนเดิม ดังนั้นแล้ว มีอะไรที่เมเนเจอร์ หรือลีดเดอร์ทั้งหลายควรจะใส่ใจ และควรจะระวังบ้าง หากต้องคุมทีมของตนเองแบบ 100% Remote
1. บริหารการสื่อสารในทีมอย่างเป็นระบบที่เข้าใจตรงกัน โดยระวังไม่ให้กลายเป็น Micro-management:
สิ่งที่สำคัญในสถานการณ์นี้คือความเชื่อใจที่อยู่บนระบบการสื่อสารและการแชร์สถานการณ์ซึ่งกันและกันอย่างเป็นระบบ แน่นอนว่าเราคงต้องการให้หน้างานสามารถทำงานได้อย่างไม่ติดขัดและไม่ล่าช้า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างความยืดหยุ่นและให้อำนาจในการตัดสินใจกับคนหน้างานเพื่อตัดสินใจแก้ปัญหาได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งการที่จะเชื่อใจทีมในการให้อำนาจในการตัดสินใจนั้น ไม่ได้แปลว่าทิ้งให้น้องตัดสินใจเอง แต่เป็นการสร้างข้อตกลงในความถี่ในการอัพเดทสถานการณ์ระหว่างกัน ละเอียดระดับใด การจัดประชุมเพื่ออัพเดทความคืบหน้าระหว่างกันอย่างเป็นระบบและมีความถี่ที่เหมาะสม โดยที่ต้องระวังคือต้องไม่ถี่เกินไปจนยิ่งอึดอัดแล้วทำงานไม่ได้ และไม่ละเอียดเกินไป จนคนของเราไม่ยอมคิดจัดการด้วยตนเอง ซึ่งคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราอยากให้เกิดขึ้นเมื่อเราต้องการให้ทีมงานต้องดำเนินงานด้วยตนเองได้
2. สร้างช่องทางในการรับรู้สภาวะแรงใจ และสถานการณ์ในทีม
นอกจากการที่สร้างระบบในการสื่อสารอัพเดทงานแล้ว สิ่งที่ผู้นำทีมควรจะต้องใส่ใจมากถึงคือสภาพของทีมของเรา เมื่อเราไม่เห็นหน้า ต้องหาช่องทางในการอัพเดทสภาวะแรงใจในทีม กำลังใจยังดีอยู่ไหม กำลังหงุดหงิดหรือเกิดคลื่นใต้น้ำอะไรหรือเปล่า ทีมยุ่งงานโหลดเกินไป หรืองานในมือหายกันไปจนเกิดปัญหาว่างงานกันในทีม (เอาจริง ๆ ปัญหาที่ลูกทีมรู้สึกว่าตัวเองว่างงาน ไม่รู้ต้องทำอะไร ไม่เห็นงานที่ต้องทำ นี่น่ากลัวกว่าน้องโหลดงานกันหนักมากเลยนะคะ) สิ่งที่ทางทีม Asian Identity ได้ลองทำในช่วงนี้ คือสร้างช่องทางสื่อสาร เพื่อให้ทุกคนได้อัพเดท Back-log ลิสต์งานในมือกันทุกสัปดาห์ และนอกจากนั้น เราได้พัฒนาระบบ Team Diary เพื่อให้แต่ละคนได้(ระบาย)บ้นทึก ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันด้วย เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงสถานการณ์ของแต่ละคน และผู้นำทีมสามารถเห็นภาพรวมของทีมได้ในแต่ละวัน (สนใจติดต่อทางทีมงานของเราได้นะคะ <3)
3. แก้ปัญหาด้วยการเน้นที่ Issue และการหาทางแก้ปัญหา ไม่ใช่การชี้ตัวคนทำผิด
เมื่อรับรู้ถึงปัญหา และได้รับสัญญาของความช่วยเหลือ การรีแอคให้ไวที่สุด และหาทางเข้าไปเข้าใจปัญหา และทำให้น้องมั่นใจว่า จะช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกันนะ และรักษาแรงใจของน้องให้ได้ การสร้างเวลาเพื่อ Video Call เพื่อจับเข่าคุยเพื่อเข้าใจสิ่งที่เกิดก่อนช่วยให้ซัพพอร์ทจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญและข้ามไม่ได้ ทักษะ Active Listening และ Visualize ในการพูดคุยเพื่อดึงปัญหาออกมาช่วยกันแก้ตรงกลางจะช่วยลดบรรยากาศตึงเครียด และลดความกลัวหรือความเสี่ยงในการหนีปัญหาของน้อง ๆ ได้มากเลยค่ะ และท้ายที่สุดที่ขาดไม่ได้คือ พอจบแต่ละกระบวนการแล้ว การให้ฟีดแบคซึ่งกันและกันอย่างจริงใจจะเป็นการปิดเรื่องเพื่อต่อยอดการทำงานร่วมกันอย่าง Healthy ที่สุดค่ะ
——————-
> Subscribe เพื่อติดตามข่าวสารน่าสนใจ และบทความแนะนำที่คนทำงานไม่ควรพลาด:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/subscribe
> ติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือคุยกับที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/contact
Credit: Photo by fauxels from Pexels