HR Blog
ในบทความนี้ ผู้เขียนจะมาพูดถึงความสำคัญของการปฏิเสธค่ะ
ตั้งแต่เด็ก ๆ เชื่อว่าหลายท่านคงเคยถูกสอนว่าให้ใจกว้าง เปิดรับโอกาส และสิ่งใหม่ ๆ เพื่อความก้าวหน้า เมื่อไหร่ที่ปฏิเสธ หรือแม้แค่ส่ายหน้าให้กับอะไรบางอย่าง ก็จะโดนมองว่าเป็นคนปิดกั้นและคิดลบ พอโตขึ้นจนถึงวัยทำงาน เราจึงรู้สึกลำบากใจและไม่กล้าที่จะปฏิเสธเพราะไม่อยากให้อีกฝ่าย ไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้ามองเราไม่ดี หรือหากปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือ เราก็อาจกลัวว่าจะทำให้เสียความสัมพันธ์เพราะจะถูกมองว่าเป็นคนไม่มีน้ำใจ แต่รู้หรือไม่ว่าการที่เราตกลงรับงานและคำขอไปซะหมด อาจจะกลายเป็นว่า เรากำลังใจร้ายกับตัวเราเองและผู้อื่นอยู่
เวลาที่เราตกลงจะช่วยงานใครหรือรับงานใหม่ เราก็ควรประเมินสภาพของตนเองก่อน ดูว่าพร้อมหรือเปล่า ถ้าไปช่วยคนอื่นในขณะที่ตัวเองกำลังมีงานล้นมือ นอกจากงานของตัวเองที่จะไม่เสร็จแล้ว ยังอาจส่งผลให้งานของคนที่ต้องทำงานต่อจากเราถูกชะงัก จนทำให้แผนงานไม่เป็นไปตามที่วางไว้ กลายเป็นว่าเราจะถูกหาว่าไม่มีความรับผิดชอบ และหากเป็นกรณีที่ทำให้สินค้าถึงมือลูกค้าล่าช้า ภาพพจน์ของบริษัทก็อาจจะพลอยเสียไปด้วย
นอกจากนี้การรับงานอื่นบ่อย ๆ ยังสามารถทำให้ขอบเขตความรับผิดชอบของเราเกิดความไม่ชัดเจน พอทำเป็นประจำ คนอื่นก็จะเริ่มมองว่าเป็นเรื่องปกติ และถูกโยนงานมาให้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด ความรับผิดชอบของเราก็จะเพิ่มขึ้นและออกนอกขอบเขตที่ถูกกำหนดไว้แต่เดิม สถานการณ์แบบนี้อันตรายตรงที่เมื่องานเยอะจนทำให้เหนื่อยเกินไป เราอาจจะเริ่มไม่สนุกกับงานที่ทำ เพราะแค่ทำให้เสร็จก็จะแย่อยู่แล้ว มากไปกว่านั้น เมื่อไม่มีขอบเขตงานที่ชัดเจน เราก็มีโอกาสที่จะรู้สึกหลงทาง มองไม่เห็นว่าบทบาทและเส้นทางในสายงานต่อจากนี้ของตนจะเป็นอย่างไร
ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องไตร่ตรองให้ดีว่าอะไรที่รับได้และดีต่อการพัฒนาของตนเอง หรืออะไรที่น่าจะเกินรับไหว ณ ขนาดนั้น แล้วค่อยตอบตกลงหรือปฏิเสธตามความเหมาะสม
แต่แน่นอนว่าการปฏิเสธก็มีศิลปะในการพูด แทนที่จะบอกว่า ‘ไม่’ แบบห้วน ๆ เราสามารถแสดงถึงความจริงใจได้ด้วยการปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา โดยอธิบายถึงสาเหตุหรือสถานการณ์งานของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้โดยไม่แสดงถึงอารมณ์ลบ ๆ เช่น ความรำคาญ อีกอย่าง เราก็สามารถลองเสนอวิธีช่วยเหลือแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอทำให้ได้ หรือบอกไปว่าจะรีบไปช่วยเมื่องานของตนเสร็จ
ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าถ้าในมุมมองตรงกันข้าม การที่เราไม่รู้จักปฏิเสธจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร
“Teach a man to fish and you feed him for a lifetime.” หรือแปลเป็นไทยคือ “ถ้าคุณให้ปลาแก่เขา เขาจะมีปลากินเพียงแค่วันเดียวแต่ถ้าคุณสอนวิธีจับปลาให้เขา เขาจะมีปลากินไปตลอดชีวิต” เป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่หมายถึงการช่วยให้คน ๆ หนึ่งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ก็เปรียบเสมือนการที่คนที่มีน้องในทีมหรือได้รับหน้าที่เป็นเมนเทอร์ต้องใจแข็งเมื่อน้องมาขอให้ช่วยแก้ไขปัญหา หากคนเป็นเมนเทอร์คอยแต่ใจดี เป็นห่วง และตกลงช่วยแก้ปัญหาให้เสมอ ๆ น้องคนนั้นก็จะทำอะไรเองไม่เป็นเลย และได้แต่กลับมาขอให้ช่วยอีกเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้น เพื่อการเติบโตของน้อง เมนเทอร์ควรเริ่มจากการสอนวิธีแก้ไขปัญหาโดยให้คำแนะนำในช่วงแรก และหลังจากนั้นก็เปิดโอกาสให้เขาได้ลองคิดเองทำเอง ลองผิดลองถูก และเข้าไปช่วยเมื่อจำเป็นเท่านั้น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผู้เขียนจึงไม่อยากให้ทุกท่านกลัวและมองว่าการปฏิเสธเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่อยากให้คิดซะว่ามันคือเกราะกําบังที่จะช่วยปกป้องเราระหว่างการผจญภัยของชีวิต หรือในบางทีก็อาจจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยปูทางสู่การเติบโตของคนที่เราต้องดูแลซะด้วยซ้ำไป
——————-
> Subscribe เพื่อติดตามข่าวสารน่าสนใจ และบทความแนะนำที่คนทำงานไม่ควรพลาด:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/subscribe
> ติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือคุยกับที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/contact
Credit: Photo by Isaiah Rustad from Unsplash
[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]