Newsletter
ปี ค.ศ. 2021 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ผลกระทบจากเชื้อโควิคเกิดการขยายตัว ทำให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ในช่วงเวลาเช่นนี้ ทักษะความสามารถประเภทใดที่พวกเราควรมีหรือครับ สำหรับจดหมายข่าวฉบับที่ 44 นี้ ผมขอเล่าถึงทักษะความสามารถ 4 ประการที่ผมอยากจะให้ความสำคัญทั้งในฐานะที่เป็นหัวหน้างานและคนธรรมดาคนหนึ่งครับ

ความสามารถในการรู้สึกร่วม
ตั้งแต่เกิดปัญหาโควิค ผมรู้สึกว่า ผมได้เห็นการถกเถียงกันอย่างดุเดือดบนโซเชียลมีเดียบ่อยขึ้น ปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาพสังคมโดยรวมเช่นปัญหาโควิดนั้น นำมาซึ่ง “การต่อสู้กันในเชิงค่านิยม” อย่างดุเดือด
เหล่าผู้คนซึ่งทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มถูกบีบคั้นด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ในธุรกิจนี้ไม่เห็นด้วยกับการล็อกดาวน์ ในทางกลับกัน คนที่มีโรคประจำตัวหรือมีปัญหาด้านสุขภาพก็อาจจะรู้สึกยินดีที่มีการปิดเมืองอย่างเข้มงวด ค่านิยมของคนสองกลุ่มนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเป็นเรื่องเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เวลาที่คนสองกลุ่มซึ่งมีค่านิยมแตกต่างกันมาพูดคุยกันนั้น ถ้าไม่พยายามถกเถียงกันด้วยสติ ก็ยากที่จะหาจุดกึ่งกลางร่วมกัน ต่อให้พยายามจะคุยกันโดยอ้างอิงข้อเท็จจริงและข้อมูลต่าง ๆ แต่เนื่องจากยังไม่มีใครเข้าใจถึงลักษณะของโรคติดต่อนี้อย่างแน่ชัด แต่ละคนจึงตีความในแง่มุมที่ต่างกันออกไปแม้จะมีชุดข้อมูลเดียวกันก็ตาม
จูเลียส ซีซาร์เคยกล่าวไว้ว่า “คนเรามองเห็นเฉพาะสิ่งที่ตนอยากเห็นเท่านั้น” เวลาที่พื้นฐานด้านค่านิยมของแต่ละฝ่ายแตกต่างกัน ถ้าเอาแต่ “หักล้าง” หลักการของอีกฝ่าย หรือเอาแต่เหยียดหยามซึ่งกันและกัน ก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี
สิ่งที่พวกเราควรจะใส่ใจพยายามนั้น น่าจะเป็นการ “ยกระดับความสามารถในการจินตนาการถึงจุดยืนของอีกฝ่าย” เช่น หัวหน้างานกับลูกน้อง สามีกับภรรยา แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกัน ก็ยังมีค่านิยมบางอย่างที่แตกต่างกัน เมื่อมีประเด็นขัดแย้งกัน ลองพิจารณาดูว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังคำพูดหรือการกระทำของอีกฝ่าย เช่น สภาวะที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญหรือภูมิหลังของอีกฝ่าย เป็นต้น ลองใช้ความสามารถในการจินตนาการ พยายามทำความเข้าใจ และให้ความสนใจ ผมเรียกการกระทำข้างต้นนี้ว่า “การรู้สึกร่วม” ถ้ามีความรู้สึกร่วม ก็น่าจะสามารถก้าวผ่านความขัดแย้ง และสามารถพูดคุยกันในเชิงสร้างสรรค์ได้มากยิ่งขึ้น
ปี ค.ศ. 2020 คือปีที่ “ความสามารถในการรู้สึกร่วม” เป็นสิ่งที่ผู้คนคาดหวังจากเหล่าผู้นำ สุนทรพจน์ของอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันได้รับเลือกให้เป็น “สุนทรพจน์ที่ดีที่สุดในปี ค.ศ. 2020” ผมคิดว่าเหล่าผู้นำซึ่งได้รับการชื่นชมว่าสามารถรับมือกับปัญหาโควิดได้เป็นอย่างดีเหล่านี้เชี่ยวชาญในการเข้าถึงประชาชนอย่างเสมอภาค และแสดงความเข้าใจในความรู้สึกของผู้อื่น เวลาที่เกิดภาวะวิกฤต หลักตรรกะอย่างเดียวนั้นไม่พอที่จะทำให้ผู้คนเห็นด้วยและปฏิบัติตามได้ แต่เมื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความเข้าใจ อีกฝ่ายก็จะเริ่มหันมารับฟัง

ความสามารถในการบูรณาการ
แต่ทว่า ความสามารถในการู้สึกร่วมอย่างเดียวนั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับการเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะในระดับใดก็ตาม ไม่เร็วก็ช้า ผู้นำก็ต้อง “ตัดสินใจ” ในเรื่องสำคัญ การตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับโควิดเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งการตัดสินใจล็อกดาวน์ของรัฐบาลและการตัดสินใจด้านการดำเนินธุรกิจขององค์กรแต่ละแห่ง ที่มันยากต่อการตัดสินใจนั้นเป็นเพราะว่ามองไม่เห็นหนทางข้างหน้าอย่างชัดเจนจึงไม่รู้จะคาดการณ์อย่างไร และมีปัจจัยหลายประการเข้ามาพัวพันอย่างซับซ้อน
ผมเรียกปัญหาที่ซับซ้อนเช่นนี้ว่า “ปัญหารูปทรงรูบิค” รูบิคนั้น พอต่อด้านหนึ่งให้เป็นสีเดียวกันได้ ด้านอื่น ๆ ก็มักจะมีสีที่ผิด นอกจากนี้ ยังดูหลาย ๆ ด้านพร้อมกันไม่ได้ด้วย ดังนั้น ถ้าใช้มุมมองแคบ ๆ และคิดแต่จะแก้ไขในระยะสั้น ก็จะไม่สามารถเล่นต่อได้ การจะแก้ปัญหารูปทรงรูบิคก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องมองภาพรวม เตรียมใจรับข้อเสียในระยะสั้น และค่อย ๆ หาทางออกในระยะยาว
ตัวต่ออีกแบบหนึ่งที่มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกัน คือ “ตัวต่อจิ๊กซอว์” เนื่องจากจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นจะมีตำแหน่งตายตัว ลักษณะการแก้ปัญหาซึ่งมักจะใช้กันภายในองค์กรนั้น เป็นการแก้แบบจิ๊กซอว์ กล่าวคือ การวิเคราะห์ปัญหา ค้นหาสาเหตุ และกำหนดแนวทางแก้ไข เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่เป็นไปตามหลักการใช้เหตุผล และสามารถนำวิธีนี้กลับมาใช้ได้เสมอ
แต่กับปัญหาที่ซับซ้อนอย่างเรื่องโควิดนี้ การแก้ไขแบบตัวต่อจิ๊กซอว์ไม่ค่อยได้ผล เช่น “การเลือกระหว่างการรักษาชีวิตคนกับการคงสภาพเศรษฐกิจ” นั้น เป็นประเด็นที่ไม่ได้สามารถตอบกันได้ง่าย ๆ เพราะทั้งสองสิ่งต่างก็มีความสำคัญ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงภาพรวม และหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด โดยให้ผู้เกี่ยวข้องแต่ละฝ่ายเข้าใจถึงความทุกข์ของกันและกันด้วย นอกจากนี้ ในบางครั้งทางออกข้างต้นก็ถูกมองว่าเป็น “ทางออกที่ผิด” หากพิจารณาในระยะสั้น แม้กระนั้น ผู้นำก็ต้องเชื่อมั่นในหนทางดังกล่าว คำนึงถึงผลในระยะยาว และดำเนินการต่อไปอย่างแน่วแน่ คนที่เป็นผู้นำในภาวะวิกฤตจำเป็นต้อง “ตัดสินใจ” ด้วยท่าทีดังกล่าว
ถ้าจะรับมือกับปัญหารูปทรงรูบิค ก็ต้องอย่ามองว่า “A หรือ B” แต่ต้องมอง “รวม A และ B เข้าด้วยกัน”
เช่น “จะรักษาองค์กรไว้หรือรักษาสภาพคล่องทางการเงินก่อน” “จะรักษาธุรกิจเดิมหรือจะลองทำธุรกิจใหม่” องค์กรต่าง ๆ น่าต้องเผชิญหน้ากับประเด็นข้างต้นอย่างจริงจังยิ่งขึ้น เวลาเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนี้ เราจำเป็นต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยนึกถึงคำว่า “A และ B” “การใช้บุคลากรให้เป็นประโยชน์ต่างหากที่น่าจะทำให้เราฝ่าวิกฤตไปได้ เราไม่จำเป็นต้องปลดพนักงานเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้นก็ได้” “การทำธุรกิจใหม่อย่างท้าทายนี่ล่ะที่น่าจะทำให้เกิดนวัตกรรมในธุรกิจเดิม” เมื่อคุณค้นพบทางออกในลักษณะนี้ คุณก็จะมองสิ่งรอบตัวในมุมมองที่ต่างออกไป
ที่จริง แนวคิดข้างต้นตรงกับคำว่า “Aufheben” ซึ่งเป็นหลักตรรกวิทยาของนักปรัชญาชื่อ Georg Wilhelm Friedrich Hegel คำว่า “Aufheben” หมายถึง “การสร้างคุณค่าใหม่ขึ้นจากแนวคิดสองประการที่ขัดแย้งกัน” ผู้คนมักจะเข้าใจผิดว่า “Aufheben” คือ “การจับปลาสองมือ” หรือ “การยำรวม” แต่ที่จริงมันคือการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองที่เหนือกว่าเดิม และทำใจยอมรับความขัดแย้ง การกระทำข้างต้นจะส่งผลให้ค้นพบคำตอบซึ่งเป็นการบูรณาการแนวคิดที่ขัดแย้งเข้าด้วยกัน

ความสามารถในการทบทวนตนเอง
ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถพิจารณาสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองที่เหนือกว่าซึ่งจำเป็นต่อ “การบูรณาการความขัดแย้ง” ได้ คำตอบ คือ เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง และยึดมั่นในหลักการหรือค่านิยมซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง “สิ่งที่ตัวเราอยากทำจริง ๆ”
เช่น ตอนที่นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลอธิบายถึงการล็อกดาวน์ให้แก่ประชาชนฟัง เขากล่าวดังนี้
“สำหรับคนที่เคยต้องต่อสู้เพื่ออิสรภาพในการเดินทางและปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ อย่างดิฉัน การจำกัดสิทธิดังกล่าว (โดยภาครัฐ) คือ สื่อที่สมเหตุสมผลก็เฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น”
เขาขอความร่วมมือจากประชาชนโดยอ้างอิงประสบการณ์อันยากลำบากของตนในสมัยที่อยู่ในเยอรมันตะวันออก ทำให้ผู้คนจำนวนมากเกิดความรู้สึกร่วม คำอธิบายของเขาทำให้ผู้ฟังสัมผัสได้ถึงวิสัยทัศน์และความเชื่ออันหนักแน่นที่สะท้อนให้เห็นว่า “เขามองว่าประเทศชาติหมายถึงอะไร” “เขาต้องการสร้างประเทศชาติในลักษณะใด” การพิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยมีวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นพื้นฐานจะทำให้สามารถรับมือกับความขัดแย้งที่อยู่ตรงหน้าได้
“การทบทวนตนเอง” คือ สิ่งที่จะขาดไปไม่ได้หากคนเราต้องการยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของตนในระยะยาว การทบทวนตนเอง คือ “การย้อนพิจารณาความรู้สึกภายในของตนเอง”
พอคนเราทำงานยุ่ง ๆ ในแต่ละวัน ก็มักจะลืมไปว่าที่จริงแล้วตนอยากทำอะไร ตนอยากจะให้ความสำคัญกับอะไร แต่พอได้ไปเที่ยว หรือได้พูดคุยกับผู้คน อยู่ดี ๆ เราก็จะนึกถึงมันขึ้นมา ในตอนนั้น คนเราจะขัดเกลาตนเองต่อไปโดยใช้สิ่งที่คิดออกอีกครั้งโดยบังเอิญเป็นสารตั้งต้น
ผมกังวลว่าปัญหาโควิดจะส่งผลให้แต่ละคน “มีโอกาสในการทบทวนตนเองน้อยลง” ทั้งนี้ เป็นเพราะว่า “การพูดคุย” คือ สิ่งสำคัญที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการทบทวนตนเอง แต่การทำงานแบบ Work From Home และการไม่ค่อยได้อยู่ในสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกัน ส่งผลให้คนเรามีโอกาส “พูดคุย” น้อยลง แม้เราจะสามารถประชุมกันผ่านทาง Zoom ได้อย่างไม่ขัดข้องก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้ใส่ใจถึงความสำคัญของการพูดคุยสัพเพเหระหรือพูดคุยถึงเรื่องราวทั่วไปในชีวิตประจำวัน ก็จะไม่มีใครนำประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยในที่ประชุมออนไลน์ ดังนั้น ผมจึงคิดว่าการสร้างนิสัย “การทบทวนตนเองจนเป็นกิจวัตร” นั้นมีความสำคัญเป็นอย่ายิ่งครับ
การทบทวนตนเองจะมีประสิทธิภาพที่สุดหากกระทำผ่านการ “เขียน” จะเขียนลงไดอารี่ บล็อก หรือเครื่องมือใดก็ได้ การบันทึกสิ่งที่รู้สึกในแต่ละวัน จะช่วยให้มองเห็นความรู้สึกของตนจากมุมมองที่เป็นกลาง รวมทั้งเป็นการทำจิตใจของตนให้สงบด้วย นอกจากนี้ การจดบันทึกสิ่งที่ตนตระหนักถึงก็น่าจะทำให้สภาวะทางความรู้สึกมีพัฒนาการในทางที่ดี และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันด้วย

ความสามารถในการแบ่งปัน
ลำดับสุดท้าย คือ ความสามารถในการแบ่งปันความรู้สึก
วิกฤตโควิดดำเนินต่อเนื่องมาเกือบ 1 ปีแล้ว คาดว่ามีคนจำนวนมากที่มาถึงขีดสุดแล้วในหลาย ๆ ด้าน สำหรับคนทำธุรกิจอาหาร การท่องเที่ยว และสันทนาการต่าง ๆ การล็อกดาวน์อีกครั้งน่าจะยิ่งเป็นการผลักพวกเขาให้จนมุม
ผู้บริหารรอบตัวผมจำนวนมากก็กำลังอยู่ในภาวะลำบาก ในฐานะของคนทำธุรกิจ ตัวผมเองก็พยายามยืนหยัดต่อสู้กับสถานการณ์เท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ แต่ถ้าเกิดวิกฤตครั้งใหญ่กว่านี้ ผมก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นแล้วตามที่เคยมีคนคาดการณ์ไว้ การต่อสู้ครั้งนี้คงเป็นไปในระยะยาว นอกจากผู้บริหารแล้ว เหล่าผู้คนที่ทำงานในองค์กรต่าง ๆ ก็คงต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าเดิม และน่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่สภาพจิตใจได้รับการบีบคั้น
ท่ามกลางสภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องช่วยเหลือกันเหมือนเวลาที่เกิดภัยพิบัติ กล่าวคือ ไม่คิดเรื่องกำไรขาดทุน เราจำเป็นต้องร่วมมือ ประสานงาน และก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน กล่าวคือ “การที่แต่ละคนแบ่งปันสิ่งที่ตนมีให้แก่คนรอบข้างคนละเล็กคนละน้อยด้วยจิตแห่งการเป็นผู้ให้”
ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเท่ ๆ ถึงขั้นลงทุนในคราวด์ฟันดิงเลยครับ ถ้าเห็นว่าข้อมูล ความรู้ ทักษะที่เรามีน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เราก็แค่แบ่งปันให้คนรอบข้างอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ผมคิดว่า “การรับฟังเรื่องราวของคนที่กำลังลำบากและคอยอยู่ใกล้ ๆ” ก็เป็นการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เนื่องจากเป็นการมอบ “เวลา” และ “ความรู้สึกที่ดี” ให้แก่คน ๆ หนึ่ง
อาจฟังดูโลกสวย แต่คนที่กำลังทุกข์ทรมานอย่างสุดทนนั้นมักจะไม่พูดว่า “ช่วยด้วย” ออกมาเอง ผมคิดว่ามีหลายคนที่กำลังลำบากมาก และเอาแต่เก็บงำไว้คนเดียว จากนี้ก็น่าจะมีคนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น การใช้ความสามารถในการคิดจินตนาการ และช่วยส่งเสริมแม้เพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ใครบางคนหรือบริษัทบางแห่งสามารถก้าวข้ามผ่านปัญหาในขณะนั้นได้
โดยส่วนตัว ผมก็ตั้งใจว่าปีนี้จะทำงานโดยพยายามใช้ความสามารถของตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นแรงส่งเสริมเพื่อนฝูง พนักงาน และบุคคลต่าง ๆ ที่อยู่ในสังคมเดียวกัน
ความสามารถในการรู้สึกร่วม ความสามารถในการบูรณาการ ความสามารถในการทบทวนตนเอง และความสามารถในการแบ่งปัน ทั้งหมดนี้ก็คือประเด็นหลัก 4 ประการที่ผมต้องการให้ความสำคัญในปีนี้ ผมคิดว่าปี ค.ศ. 2021 เป็นปีที่ความท้าทายต่าง ๆ กำลังรอเราอยู่ ผมจะต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับทักษะทั้ง 4 ประการข้างต้นไปพร้อมกันครับ
ขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านครับ สำหรับปี ค.ศ. 2021 นี้ ทีมงาน Asian Identity ทุกคนก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
—————–
*ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าเป็นไปได้ ขอให้คุณผู้อ่านแชร์จดหมายข่าวนี้ให้แก่คนรู้จักหรือเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นด้วยนะครับ
>>https://asian-identity.com/hr-egg-jp/newsletter/jan-2021
*“สู้สู้ พิมพ์ เล่ม 2” หนังสือสำหรับเรียนรู้ภาวะการเป็นผู้นำผ่านการ์ตูนแนวญี่ปุ่นได้ออกวางจำหน่ายแล้วครับ ขอให้คุณผู้อ่านสั่งซื้อโดยคลิกด้านล่างนี้นะครับ
ฉบับภาษาญี่ปุ่น: http://bit.do/fLSJc
*ทีมงาน Asian Identity กำลังจะจัดสัมมนาด้านภาวะการเป็นผู้นำและงาน HR คุณสามารถดูกำหนดการจัดสัมมนาต่าง ๆ ได้ที่นี่ครับ
>>https://asian-identity.com/hr-egg-th/event
Credit:
Photo by Tumisu from Pixabay
Photo by Toa Heftiba from Unsplash
Photo by George Bakos from Unsplash
Photo by Gabrielle Henderson from Unsplash
Photo by KaLisa Veer from Unsplash
[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]
23 พ.ค., 2021
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.47 “หน่วยงานของคุณทำงานแบบ Agile หรือไม่” – MAY , 2021
04 พ.ย., 2019
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.30 ความรู้ด้าน “จิตวิทยาสังคม” ที่เป็นประโยชน์ต่อ HR (ตอนที่ 2) – NOVEMBER , 2019
24 ก.ค., 2019
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.14 “พัฒนาบุคลากรเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโต” – MAY , 2018