Newsletter
จดหมายข่าวฉบับนี้ เป็นจดหมายข่าวฉบับที่ 24 แล้วครับ จดหมายข่าวฉบับที่ผ่านมานั้น โดยทั่วไปผมจะนำเสนอเรื่องทฤษฎี หรือ บทสัมภาษณ์องค์กรต่างๆ โดยเป็นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน HR ของทุกท่านครับ แต่ฉบับนี้ผมตั้งใจว่าจะลองเขียนจดหมายข่าวในลักษณะของคอลัมน์เกี่ยวกับแนวคิดอันเป็นแก่นสารเบื้องลึกดูครับ
เวลาที่ได้ยินคำว่า “เอเชีย” หรือ คำว่า “โลกตะวันออก” ทุกท่านรู้สึกถึงภาพลักษณ์อย่างไรบ้างครับ
พอถามคำถามข้างต้น ผมมักจะได้รับคำตอบว่า “การให้ความสำคัญกับการปรองดอง” ครับ เมื่อพิจารณาเบื้องลึกของคำตอบข้างต้น ก็ดูเหมือนว่าวัฒนธรรมการทำการเกษตรนั้น คือ จุดเริ่มต้นของแนวคิดดังกล่าวครับ กล่าวคือ มันเป็นวัฒนธรรมการแบ่งปันที่นาร่วมกัน และเป็นวัฒนธรรมเกิดขึ้นภายในชุมชนหนึ่งครับ ชาวเอเชียให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่น และ จะตัดสินใจโดยให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความรู้สึก มากกว่าจะให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านตรรกะเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนว่าคนจำนวนมากจะมองว่าสิ่งเหล่านี้ คือ ภาพลักษณ์ของคำว่า “เอเชีย” ครับ และ เมื่อก้าวมาดำเนินธุรกิจในเอเชียแล้ว การให้ความสำคัญกับค่านิยมเหล่านี้ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันครับ
อย่างไรก็ตาม เอเชียนั้นครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางมากตั้งแต่ประเทศญี่ปุ่นในทิศตะวันออกจนถึงภูมิภาคตะวันออกกลางในทิศตะวันตก การที่เรารู้สึกว่าพื้นที่ทั้งหมดนี้มีจุดร่วมเดียวกันตามที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น เป็นเรื่องที่น่าพิศวงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ 100 กว่าปีก่อนมีนักวิชาการท่านหนึ่งที่สนใจในจุดร่วมของ “เอเชีย” ที่ว่านี้ เขาจึงทำการวิจัย และ นำเสนอผลงานเป็นภาษาอังกฤษ นักวิชาการข้างต้นมีชื่อว่า เทนชิน โอคาคุระครับ (Tenshin Okakura, 1862 -1913)
เทนชินเกิดที่จังหวัดโยโกฮาม่าในช่วงปลายสมัยเอโดะ (ปีค.ศ.1603 – ปีค.ศ.1868) เขาเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ยังเด็ก และ เติบโตมาโดยสามารถใช้ได้ทั้งภาษาญี่ปุ่น และ อังกฤษ เทนชินซึ่งทำงานเป็นนักวิจัยด้านวิจิตรศิลป์นั้น
ได้เดินทางท่องเที่ยวจากจีนไปถึงอินเดีย ระหว่างนั้นเขาก็เสาะหารากฐานทางความคิดของโลกตะวันออกไปด้วย จากนั้นเขาก็ได้เขียนสิ่งเหล่านั้นเป็นภาษาอังกฤษ และ ได้นำเสนอผลงานดังกล่าวที่อเมริกา เขาเป็นนักวิจัย และ นักปราชญ์ที่มีความคิดล้ำสมัยเป็นอย่างยิ่งครับ
ในหนังสือชื่อ “The Ideal of the East” ของเขา เขาได้เขียนไว้ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณสมบัติของอัศวินอาหรับ บทกวีเปอร์เซีย ทฤษฎีของจีน หรือ แนวคิดของอินเดีย ทุกสิ่งที่ว่ามานี้กำลังบอกเล่าถึงจินตนาการแห่งความสงบ ซึ่งเป็นแนวคิดเพียงหนึ่งเดียวที่มีความสากล และ เป็นปัจจัยเติมเต็มโลกเอเชียในยุคโบราณ” และ เขาก็ได้นำคำว่า “เอเชียเป็นหนึ่งเดียวกัน (Asia is One)” มาใช้ด้วยครับ คราวนี้ผมขอนำเสนอค่านิยม “แบบเอเชีย (Asian)” ที่เขาได้วิจัยไว้ราว 3 ประการ และ ผมขอลองเพิ่มเติมคำอภิปรายของผมเข้าไปดูนะครับ

รับฟังสิ่งที่ไม่ได้ถูกพูดถึง
(We listen to unspoken)
เทนชินซึ่งเป็นนักวิจัยด้านศิลปะตะวันออกนั้น เล็งเห็นถึงความแตกต่างระหว่างวิจิตรศิลป์ตะวันออก และ วิจิตรศิลป์ตะวันตก เขาเล็งเห็นว่า ความลับของวิจิตรศิลป์ตะวันออก คือ การทำตนเองให้ว่างเปล่า ดึงดูดอีกฝ่าย และ ชักจูงให้เกิดจินตนาการอันอิสระ ไม่ใช่การที่ช่างศิลป์ยัดเยียดแนวคิดของตนเองครับ
ยกตัวอย่างเช่น ภาพวาดยุคโมเดิร์นของโลกตะวันตกนั้น บนแผ่นผ้าใบจะเต็มไปด้วยแนวคิดของช่างศิลป์เอง ส่วนภาพสีน้ำแบบดั้งเดิมของโลกตะวันออกนั้น จะจงใจจำกัดความฉูดฉาด กระตุ้นจินตนาการของผู้ชม การใช้ “ความว่างเปล่า” หรือ “ช่องว่าง” ให้เป็นประโยชน์นี้เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมแบบเอเชีย โดยเทนชินใช้สำนวนว่า “รับฟังสิ่งที่ไม่ได้ถูกพูดถึง (We listen to unspoken)” ครับ
แม้ในยุคปัจจุบันเอง วัฒนธรรมเอเชียก็มักจะถูกเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมแบบ High-Context (อ้างอิงบริบทสูง) กล่าวคือ วัฒนธรรมที่มีจุดเด่นตรงที่ผู้คนไม่ได้พูดทุกสิ่งจนครบถ้วน แต่จะพิจารณาถึงบรรยากาศแวดล้อมด้วย เมื่อเทียบกันแล้ว วัฒนธรรมแบบ High-Context นี้ เป็นแบบที่ผู้คนมักจะมองว่า มันจะส่งผลเสียในแง่ของการทำธุรกิจ เนื่องจากประเด็นการ “ไม่สื่อสารด้วยคำพูดให้ชัดเจน”
แต่แก่นสารของวัฒนธรรมต่างๆ เช่น ศิลปะนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูด หรือ ทำเป็นคู่มือออกมาได้ทั้งหมด เรื่องบางอย่างก็ไม่สามารถสื่อสารบอกต่อได้ถ้าบุคคลนั้นๆ ไม่ได้ “รู้สึก” หรือ “สัมผัสประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง” พวกเราชาวโลกตะวันออกนั้น มีความถนัดในด้านนี้ครับ เราจึงควรให้ความสนใจในจุดแข็งข้างต้นนี้ไปพร้อมกันด้วย

จิตวิญญาณประชาธิปไตยตะวันออก
(Spirit of Eastern Democracy)
ในหนังสือ “The Book of Tea” ของเทนชิน เขาได้กล่าวไว้ว่าวัฒนธรรมชานั้นแสดงถึงจิตวิญญาณตะวันออกได้เป็นอย่างดี ชาเป็นวัฒนธรรมที่มีร่วมกันทั้งในอินเดีย จีน และ ญี่ปุ่น เทนชินมองเห็นถึง “จิตวิญญาณประชาธิปไตยตะวันออก (Spirit of Eastern Democracy)” จากวัฒนธรรมข้างต้น โดยเขากล่าวว่า การต้อนรับแขกด้วยน้ำชานั้น เป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือ มันจะไม่เกิดขึ้นถ้ามีแค่เจ้าภาพ หรือ แขกเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
จิตวิญญาณข้างต้นนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่เรื่องชาเท่านั้น เทนชินได้ยกเรื่องเล่าเกี่ยวกับ“นักดีดโคโตะ (จะเข้ญี่ปุ่น)” มาเป็นตัวอย่างด้วย เขาได้เน้นถึงความสำคัญของการ “มอบหมายเพลงที่นักดีดโคโตะจะเล่นให้แก่นักดีดโคโตะเป็นผู้รับผิดชอบ” กล่าวคือ ผู้แสดงนั้นไม่ควรแสดงดนตรีโดยใช้งานนักดีดโคโตะฝ่ายเดียว นักดีดโคโตะก็มีเจตจำนง เทนชินต้องการสื่อว่า การที่แต่ละฝ่ายคอยส่งเสริมซึ่งกันและกันจะส่งผลให้สามารถถ่ายทอดศิลปะดั้งเดิมได้
หรือถ้าจะมองจากมุมมองของคนในยุคปัจจุบันเอง ผมก็รู้สึกว่าแนวคิดข้างต้นนี้มีความเป็นตะวันออกเป็นอย่างยิ่งครับ ชาวเอเชียใส่ใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บางครั้งก็ยอมรับการกำหนดหน้าที่อย่างตายตัวไม่ได้ ในโลกแห่งธุรกิจ เราเรียกแบบนี้ว่า “แบบอะมีบา” บางครั้งผู้คนอาจจะไม่พอใจในความกำกวม แต่เวลาที่ทำงานร่วมกันในองค์กร ก็ควรมุ่งเน้นใส่ใจทำการผลักดันผลลัพธ์ให้สูงสุดด้วยการเคารพเจตจำนง และ ความเห็นของกันและกัน ไม่ยึดติดกับหน้าที่ที่ถูกกำหนดไว้แต่ต้นจนเกินไป

ความยิ่งใหญ่ภายใต้เรื่องเล็กน้อย
(Greatness in the Smallest Incidents)
เทนชินได้เล่าถึงเรื่องราวตอนที่ตนบวชเป็นพระ เขากล่าวไว้ว่า “อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ในขณะที่ผู้มาใหม่ถูกมอบหมายงานที่ไม่ค่อยเป็นภาระ พระที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด และ บำเพ็ญเพียรมานานกลับถูกมอบหมายงานที่นำมาซึ่งปัญหา และ ต่ำต้อยกว่า”
เขากล่าวด้วยว่า “ผู้เสาะหาความสมบูรณ์แบบจำต้องค้นพบภาพสะท้อนจากแสงสว่างภายในซึ่งปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันของตัวเขาเอง (The seeker for perfection must discover in his own life the reflection of the inner light)” และ เทนชินยังอธิบายต่อว่า “ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความด้อย และ ความยิ่งใหญ่ (No distinction of small and great)”

ตามที่ระบุข้างต้น “การทำสิ่งต่างๆ ด้วยมือของตนเอง” และ “การทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้เสร็จสมบูรณ์” จะส่งผลให้จิตใจได้รับการพัฒนา แนวคิดข้างต้น คือ หลักปรัชญาที่แพร่ขยายไปทั่วโลกตะวันออก ไม่เพียงแค่ในศาสนาพุทธนิกายเซนเท่านั้น นอกจากนี้ เขายังได้เห็นวัฒนธรรม “การทำเครื่องนุ่งห่มของตนเองด้วยตนเอง” ในเขตชนบทในประเทศอินเดีย และ เขาได้กล่าวไว้ว่า “การทำเครื่องนุ่งห่ม คือ การสร้างพื้นที่ทางด้านจิตใจของตนเอง” ว่ากันว่าเขาก็เลยทำเครื่องนุ่งห่มของตนเองด้วยตนเองเช่นกัน ถึงตรงนี้ เราจะเห็นถึงหลักปรัชญาตะวันออกที่ว่าด้วยเรื่อง “การทำเรื่องของตนด้วยตนเอง” โดยไม่เกี่ยงว่าบุคคลดังกล่าวจะมีฐานะสูง หรือ ต่ำครับ
ตามที่ได้กล่าวข้างต้น จดหมายข่าวฉบับนี้ ผมได้ลองพิจารณาค่านิยมเอเชีย (Asian) โดยนำผลงานวิจัยของเทนชิน โอคาคุระมาใช้เป็นเครื่องนำทางครับ
อย่างพ่อครัวซูชิ หรือ ช่างศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่น ต่อให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังแค่ไหน หรือ ต่อให้มีลูกศิษย์มากแค่ไหน เขาก็จะไม่มอบหมายงานให้ลูกศิษย์เป็นผู้ทำเองทั้งหมด เราอาจจะสามารถอธิบายสิ่งนี้ด้วยภาษาอังกฤษว่า “DIY(Do It Yourself)” ได้ การ “ขับเคลื่อนด้วยมือของตนเอง” ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และ มีความยุ่งยากนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกใหม่ๆ หรือ การตระหนักถึงสิ่งใหม่ๆ และ ผมก็ตั้งใจว่าจะให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ครับ
ในโลกธุรกิจเอเชียในปัจจุบันนั้น กฎเกณฑ์ทางธุรกิจ และ กรอบความคิดแบบอเมริกาถูกวางซ้อนอยู่บนรากฐานทางด้านวัฒนธรรม ธรรมเนียม และ ค่านิยมแบบเอเชียที่พวกเรามีมาแต่เดิม
ผมคิดว่าด้วยเหตุนี้เอง บางครั้งจึงเกิดความขัดแย้ง (Conflict) หรือ ความไม่สอดคล้องในระบบ เช่น คนเอเชียนั้นมีจิตวิญญาณแห่งการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อคนเอเชียโดนกดดันด้วยระบบงาน HR ที่เน้นด้านการแข่งขันมากจนเกินไป แรงจูงใจในการทำงานของผู้คนเหล่านี้ก็จะลดลง เป็นต้น
ผมคิดว่าผู้บริหารซึ่งทำหน้าที่กำหนดนโยบายบริษัท รวมทั้งฝ่าย HR ซึ่งเป็นผู้ออกแบบระบบการทำงานนั้น จำเป็นต้องดำเนินนโยบายของบริษัทตนโดยคำนึงถึงลักษณะเด่นทางด้านวัฒนธรรมแบบเอเชียข้างต้นอย่าถี่ถ้วนครับ ทาง Asian Identity เองก็จะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ในการนำเสนอแนวคิดเหล่านี้ให้แก่ท่านทั้งหลายต่อไปครับ
[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]
28 ก.ย., 2020
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.40 “มาฝึกทักษะการใช้ความคิดเพื่อสร้างอนาคต 10 ปีข้างหน้ากัน” – SEP , 2020
04 พ.ย., 2019
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.30 ความรู้ด้าน “จิตวิทยาสังคม” ที่เป็นประโยชน์ต่อ HR (ตอนที่ 2) – NOVEMBER , 2019
10 ก.ค., 2023
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.55 “ขบคิดเรื่องความเป็นผู้นำสไตล์เอเชีย ตอนที่ 2 ผู้นำที่เดินทางสายกลาง” – JUL, 2023