HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.53 “ลมกับพระอาทิตย์”
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.53 “ลมกับพระอาทิตย์”

2 ก.พ. 2023
Katsuhiro Nakamura (Jack)Katsuhiro Nakamura (Jack)

สำหรับ AI Newsletter ฉบับที่ 53 นี้ อยากจะชวนทุกท่านมาลองพิจารณาว่า “เราควรเข้มงวดกับคนอื่นมากแค่ไหน”

เวลาที่ทีมงานของเราจัดงานพัฒนาบุคลากร ลูกค้าหลายแห่งมักจะบอกกับเราว่าให้ “เข้มงวดกับพนักงานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ให้โจทย์ยากๆ และคอมเมนต์แรงๆ เช่น “ไม่พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นกว่านี้ไม่ได้นะ” กล่าวคือ ต้องทำให้พวกเขารู้สึกว่า “จำเป็น” ต้องพัฒนาตนเอง

การกระทำข้างต้น เปรียบได้กับ “ลม” ในนิทานอีสปเรื่อง “ลมกับพระอาทิตย์” (The north wind and the sun) โดยในนิทานเรื่องนี้ ลมได้สร้างพายุขนาดย่อมขึ้นโดยหวังว่าเสื้อคลุมของนักท่องเที่ยวจะหลุดออก แต่นั่นส่งผลในทางตรงกันข้ามเพราะนักท่องเที่ยวดึงเสื้อให้คลุมตัวแน่นกว่าเดิม

แนวทางที่ “เข้มงวด” แบบนี้ ถือว่าจำเป็นในระดับหนึ่งสำหรับงานพัฒนาบุคลากร เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ มักเลือกที่จะปล่อยตัวไปตามสบาย เลือกหนทางที่ง่ายกว่า ตัวผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ดังนั้น การรู้สึกถึง “ความจำเป็น” ในการพัฒนาตัวเองจึงสำคัญมาก

 

“ลมกับพระอาทิตย์”

“ความเข้มงวดอย่างเดียวไม่สามารถนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง”

สายลมในนิทานอีสปไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มถอดเสื้อได้ ยิ่งมันพัดแรงเท่าไหร่ ชายหนุ่มยิ่งพยายามจับเสื้อไว้ให้แน่น

มนุษย์มักจะ “ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการถูกบังคับ” ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติมนุษย์ในข้อนี้ ก็ไม่สามารถจะพัฒนาทักษะของเขาได้

ในนิทาน พระอาทิตย์ทำให้นักท่องเที่ยวถอดเสื้อได้ด้วยการค่อยๆ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น จนเขาต้องถอดเอง ถ้ามองในมุมของการพัฒนาบุคลากร พระอาทิตย์เปรียบได้กับ “การยอมรับและเข้าใจในตัวอีกฝ่าย”

เวลาถูกบอกให้ “เปลี่ยน” ตัวเอง คนเรามักจะ ”ไม่ยอม” ทำตามง่ายๆ เพราะไม่มีใครที่รู้สึกดีเมื่อโดนบอกแบบนั้น

การเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้น จำเป็นต้องใช้ “พลังงาน” ไม่น้อย ต้นกำเนิดของพลังงานที่ว่านั้นอาจจะเป็นได้หลายอย่าง เช่น ความเชื่อใจ ความคาดหวังจากคนรอบข้าง ความสัมพันธ์อันดี เป้าหมายที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น เป็นต้น สิ่งสำคัญคือการสร้างเหตุผลหรือสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวรู้สึก “อยากที่จะเปลี่ยนแปลง” ด้วยตนเอง

ผมเคยจัดอบรมให้หัวหน้างานที่กลุ้มใจเรื่องการพัฒนาศักยภาพของลูกน้อง พวกเขามักจะพูดว่า…

 

บอกให้เขาปรับปรุงมาตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่ใส่ใจเลย ถึงทำให้พัฒนาตนเองไม่ได้สักที”

 

แนวทางการใช้ความเข้มงวดแบบ “สายลม” ในนิทานนั้น เป็นรูปแบบที่ผู้คนนิยมใช้กัน ที่จริง “การที่เราบอกให้อีกฝ่ายปรับปรุง” นั่นล่ะที่อาจจะส่งผลให้ “อีกฝ่ายไม่ยอมปรับปรุง”

ผู้ที่เลือกใช้ความเข้มงวดอาจจะไม่รู้ตัวว่า ตนเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายหมดแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเอง เรียกว่าเป็นจุดอ่อนของคนที่เป็นหัวหน้างานก็ได้

 

เริ่มจากวิธีแบบพระอาทิตย์ก่อน แล้วจึงต่อด้วยวิธีแบบสายลม

ทั้งไม้อ่อนอย่างพระอาทิตย์ และไม้แข็งอย่างสายลม “มีความสำคัญทั้งคู่” แต่เราควรเลือกใช้ “ไม้อ่อน” ก่อน

ก่อนอื่น เราต้องเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายและมองข้อดีของเขาก่อน โดยที่เราต้องรู้สึกจริงๆ จากข้างใน รวมทั้งทำให้เขารู้สึกได้ว่า เราเชื่อมั่นในตัวเขา

แต่ห้ามชมแบบขอไปทีโดยเด็ดขาด เพราะใครๆ ก็ดูออก ก่อนจะไปพูดคุยกับเขา ตัวเราต้องรู้สึกชื่นชมเขา “อย่างจริงใจ” ก่อน เรื่องนี้อาจจะยากสักหน่อย แต่เป็นเรื่องสำคัญครับ

เมื่อเรากล่าวชมเขาอย่างจริงใจแล้วจึงค่อยบอกให้เพิ่ม “จุดที่อยากให้เขาพัฒนาให้ดีกว่าเดิม” กล่าวคือ เราไม่ได้บอกให้เขา “เปลี่ยน” แต่เป็นการแนะนำให้ “เพิ่ม” ข้อดีของตนเอง วิธีนี้จะทำให้ผู้ฟังรับสารได้ดีกว่า

อาจจะฟังดูย้อนแย้งสักหน่อย แต่การที่เรายอมรับเขาในอย่างที่เขาเป็น ยิ่งทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้นครับ

 

การพูดตรงเกินไปก็อาจจะไม่ได้ผลอะไร นอกจากทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก

วิธีที่นิยมใช้กันทั่วไปเวลาจัดอบรมพัฒนาบุคลากรเพื่อปรับทัศนคติคือ “การให้ Feedback แบบ 360 องศา” เราจะใช้แบบสอบถามเพื่อรวบรวมข้อมูลจากคนรอบตัว แล้วสื่อสารกับเจ้าตัวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เขาอยากเปลี่ยนแปลงตนเอง

อาจกล่าวได้ว่า วิธีนี้เป็นการใช้ “ความช็อก” ในการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงตัวก็ได้ แต่ถ้าใช้สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับความเข้มงวดแบบ “สายลม” ในนิทาน ถ้าเราไม่ส่งพลังงานบวกให้เหมาะสมกับความรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย ผู้รับสารก็ไม่น่าจะเข้าใจสิ่งที่เราอยากจะสื่อ

เมื่อรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามแล้ว เราควรจะ “นัดพบพูดคุยโดยตรง” เพื่อที่จะสื่อสารในสิ่งที่ผลสำรวจอาจจะอธิบายได้ไม่หมด การพูดคุยกันต่อหน้าจะทำให้ผู้รับสารได้มีโอกาสเตรียมตัวรับฟังข้อมูลที่อาจทำให้รู้สึกสะเทือนใจ และมีกำลังใจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง

เรื่องที่อยากจะชวนคิดในหัวข้อ “ลมและพระอาทิตย์” ก็มีเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกท่านลองนำไปปรับใช้ในการทำงานกันดูนะครับ

ผมขอจบจดหมายข่าวฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่าน

—————–

* ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ! คลิกที่นี่

* ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่น อ่านที่นี่

* ข้อเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรรูปแบบ In-house คลิกที่นี่

  • เวิร์กชอปสำหรับคนญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาทักษะการบริหารคนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน คลิกที่นี่
  • เวิร์กชอปสำหรับคนไทย เพื่อพัฒนาทักษะการบริหารจัดการด้วย Management Simulation Board Game คลิกที่นี่

 

Credit:
Image by Nectar from Pexels
Image by Alesia Kazantceva from Unsplash
Image by fauxels from Pexels
Image by Startup Stock Photos from Pexels

Katsuhiro Nakamura (Jack)

Katsuhiro Nakamura (Jack)
CEO & Founder, Asian Identity Co., Ltd.

Profile

ดำเนินกิจการบริษัท Asian Identity องค์กรให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งมีความชำนาญงานในภูมิภาคเอเชีย และ มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้น ดำรงตำแหน่งปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์ทำงานที่บริษัท Nestlé บริษัท Link and Motivation และ บริษัท GLOBIS ปัจจุบันรับผิดชอบงานด้านการให้คำปรึกษา และ จัดอบรมในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยมีสำนักงานในประเทศไทย ระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพ ยังได้เขียน และ จำหน่ายหนังสือ “สู้สู้ PIM! (Su Su Pim!)” การ์ตูนให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจสำหรับชาวไทยด้วย

 

– Certified Facilitator of LEGO® SERIOUS PLAY®
– Completed ORSC™ – Organization and Relationship System Coaching Practical Application Course
– Certified Facilitator of Hofstede Insight Organizational Culture (วัฒนธรรมองค์กร)
– CoachingOurselves Facilitator