HOME > Articles > การสมัครงานกับมุมมองของผู้สัมภาษณ์
HR Blog

การสมัครงานกับมุมมองของผู้สัมภาษณ์

01 ก.พ..2023

“การสมัครงาน” เป็นสถานการณ์ที่หลายๆท่านรู้สึกกังวลเมื่อต้องพบเจอ ทั้งความกังวลต่อกระบวนการคัดเลือกสรรหาบุคลากรของบริษัทที่สมัคร ทั้งความกังวลต่อผลลัพธ์ของการสมัคร ทั้งความกังวลต่อสภาพสังคมใหม่ ๆ ที่จะได้พบเจอ โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่เพิ่งเรียนจบจากสถาบันการศึกษาซึ่งยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ในสังคมของการทำงานมากนัก หรือแม้กระทั่งกลุ่มผู้มีประสบการณ์ทำงานที่ต้องการจะย้ายงานเอง ก็เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อย้ายงานไปแล้วเราจะต้องเผชิญหน้ากับรูปแบบสังคม หรือพฤติกรรมของกลุ่มคนอย่างไรบ้าง ความกังวลเหล่านั้นส่งผลให้เกิดความกดดัน ซึ่งในวันนี้ผมจะมาแบ่งปันประสบการณ์ในช่วงที่ได้รับผิดชอบเป็นเจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากร (Recruiter) ให้ทุกท่านได้เข้าใจกันครับ

 

ผู้สัมภาษณ์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สอบสวน

โดยปกติเมื่อเราพูดถึงการสมัครงาน กระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรโดยทั่วไปที่พบเห็นกันอย่างแพร่หลายเป็นสากลและมักจะถูกนึกถึงเป็นอันดับแรกนั้นคงจะหนีไม่พ้น “การสัมภาษณ์งาน” สิ่งที่น่าสนใจคือผู้สมัครงานหลายท่านมักจะคิดว่ากระบวนการสัมภาษณ์งานนั้น คือกระบวนการที่บริษัทนั้นใช้ในการเลือกเฟ้นดูว่าบุคลากรที่เก่งหรือมีความเชี่ยวชาญที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อรับเข้าทำงาน ในมุมมองของผมในฐานะของผู้สัมภาษณ์แล้วแม้ว่านั่นจะไม่ใช่ความเข้าใจที่ผิด แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ถูกต้องซะทีเดียวเช่นกัน สำหรับผู้สัมภาษณ์งานแล้ว “การสัมภาษณ์งาน” ไม่ใช่การที่เราเรียกผู้สมัครเข้ามาสักถามสอบประวัติเพียงอย่างเดียว ผู้สัมภาษณ์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สอบสวนหรือนักประเมินคุณค่าของคน ที่จะสามารถตัดสินได้ว่าใครเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เก่งหรือไม่เก่ง มีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า

ในทางกลับกันสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์มักจะมองและวิเคราะห์ตลอดการสัมภาษณ์นั้นจะเป็นการดูความเข้ากันได้ต่อตำแหน่งงานและองค์กรนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ความเข้ากันได้ในเรื่องทักษะต่อตำแหน่งงาน ความเข้ากันได้ในเรื่องทัศนคติต่อเพื่อนร่วมงาน ความเข้ากันได้ในเรื่องรูปแบบการปฏิบัติงานต่อกระบวนการภายในองค์กร ความเข้ากันได้ในเรื่องของกระบวนการคิดต่อหน้าที่รับผิดชอบ ความเข้ากันได้ทางกายภาพต่อสภาพแวดล้อมในการทำงาน ความเข้ากันได้ทางด้านสุขภาพต่อความเสี่ยงในการทำงาน และความเข้ากันได้อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งจะทำให้ผู้สัมภาษณ์เห็นภาพว่าหากผู้ถูกสัมภาษณ์ได้เข้ามาร่วมงานภายใต้องค์กร หน่วยงาน หรือส่วนงานดังกล่าวจะเกิดผลกระทบในแต่ละด้านอย่างไรบ้าง

 

ลักษณะของคำถามที่มักจะถูกใช้ในการสัมภาษณ์

ด้วยกรอบของการสัมภาษณ์งานและความชัดเจนในความต้องการของตำแหน่งงาน ประกอบกับแนวทางประวัติของผู้สมัครงานที่สรรหามาอย่างคล้ายคลึงกันเอง ส่งผลให้ผู้สัมภาษณ์มักจะมีคำถามที่ถามกับผู้สมัครทุกคนคล้าย ๆ กันเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างตายตัว แต่สิ่งที่จะแตกต่างกันคือคำถามที่เพิ่มขึ้นมาระหว่างการสัมภาษณ์จากคำตอบของผู้สมัครเอง โดยที่หลักการหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในการตั้งคำถามนั้น เราเรียกว่าเทคนิค STAR (Situation, Task, Action, Result) ซึ่งเป็นการตั้งคำถามเพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เล่าถึงสถานการณ์บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งมีความเกี่ยวพันต่อหน้าที่ของตน สิ่งที่ตนได้ทำไปในสถานการณ์นั้น และผลลัพธ์ที่ได้ คำถามกลุ่มนี้ทำให้ผู้สมัครแสดงศักยภาพของตนเองออกมาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

[ตัวอย่างคำถาม]

• ในประสบการณ์ทำงานกับบริษัทที่ล่าสุดของคุณ คุณรู้สึกว่าสิ่งใดคือสิ่งที่คุณรู้สึกว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด
• คุณเคยพบเจอปัญหาเกี่ยวกับผู้ร่วมงานอย่างไรบ้าง
• ลองเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานที่คุณรู้สึกว่ามีความสามัคคีมากที่สุดให้ฟังหน่อย

 

การสัมภาษณ์ไม่ใช่ความจริงเสมอไป

เมื่อกล่าวแบบนี้แล้วหลายคนอาจจะเกิดความสงสัยว่าแล้วสิ่งเหล่านี้วัดจากอะไร ผู้สัมภาษณ์นำเครื่องมือหรือแนวคิดแบบไหนมาตัดสินว่าสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์คิดนั้น “เป็นความจริง” คำตอบคือ…ใช่ครับ ผมเองแม้แต่ในฐานะของผู้สัมภาษณ์ก็ไม่อาจบอกกับทุกคนได้ว่าข้อมูลที่เกิดขึ้นในการวิเคราะห์ระหว่างการสัมภาษณ์นั้นคือ “ความจริง” แน่นอนว่าผู้สัมภาษณ์อยากได้ความจริงจากผู้ถูกสัมภาษณ์เสมอ แต่ความเป็นจริงนั้นสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์สามารถเรียกได้ว่าเป็น “ความจริง” นั้นมีเฉพาะข้อมูลในประวัติย่อ (Resume / CV) ที่มีเอกสารที่ออกโดยมีองค์กรรับรองให้เท่านั้น เช่น หน่วยงานราชการ สถานศึกษา สถาบันฝึกอบรม เป็นต้น

บนพื้นฐานของความเป็นจริงแล้วด้วยเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงของการสัมภาษณ์ หรือต่อให้ลากยาวไปมากกว่านั้นไม่มีทางที่เราจะสามารถดึง หรือรับรู้ถึงความจริงในตัวของผู้สัมภาษณ์เราได้ทั้งหมดที่เราต้องการ ยังไม่นับว่าในกรณีที่ตำแหน่งงานมีผู้สมัครจำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถใช้เวลาในการสัมภาษณ์ยาวนานได้ ผู้สัมภาษณ์ไม่มีทางที่จะนำความเป็นจริงออกมาได้ทั้งหมด หากไม่อย่างนั้นคงไม่จำเป็นที่จะต้องมีช่วงเวลาของการทดลองงานเพื่อดูว่าผลการปฏิบัติงานเป็นอย่างไร เข้ากับสังคมการทำงานได้หรือไม่ ถูกไหมครับ

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้สัมภาษณ์คาดเดาเอาเองโดยไม่มีหลักการในการรับคนเข้าทำงาน เพียงแต่หลักการที่จะถูกนำมาใช้เพื่อสัมภาษณ์และวิเคราะห์นั้นคือการใช้หลักของ “ความน่าจะเป็น” ครับ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการใช้หลัก “ความน่าจะเป็น” แบบคาดเดาตามความเห็นของผู้สัมภาษณ์ที่ไม่มีหลักการ หากแต่เป็นความน่าจะเป็นตามความรู้ที่เราได้เรียนรู้ผ่านรูปแบบของกรณีศึกษา การวิจัยทางงานบริหารทรัพยากรบุคคล การวิจัยทางการศึกษาการพัฒนาองค์กร การวิจัยทางจิตวิทยา หรืออื่น ๆ อีกมากมาย ความรู้หรือแนวคิดที่ตกผลึกแล้วเหล่านี้ทำให้ผู้สัมภาษณ์สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลายเพื่อทำความเข้าใจต่อ “ความน่าจะเป็น” ของผู้สมัครงานหนึ่งคนที่ได้มีการมาเข้าสัมภาษณ์ครับ

 

การสัมภาษณ์ไม่ใช่การประเมินจากฝ่ายเดียว

ดังจะเห็นได้ว่าในการสัมภาษณ์งานนั้นมีการประเมินที่หลากหลายจากฝั่งของผู้สัมภาษณ์ ทำให้หลายท่านเข้าใจว่ากระบวนการที่เรียกว่า “การสัมภาษณ์งาน” นั้น เป็นกระบวนการที่เกิดการประเมินจากฝ่ายเดียว ซึ่งอาจจะต้องขอกล่าวเลยว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ ในการสัมภาษณ์งานไม่ใช่เพียงการที่บริษัทเป็นฝ่ายประเมินเราเพียงเท่านั้น แต่เราเองก็มีสิทธิและอำนาจในการประเมินหรือเลือกบริษัทได้เช่นเดียวกัน การประเมินเหล่านี้สามารถทำได้โดยง่ายผ่านการศึกษาในเรื่องของมิติวัฒนธรรมองค์กร โดยเราสามารถนำมาใช้สังเกตการณ์ได้ตั้งแต่สภาพแวดล้อมการทำงาน สถานที่ บุคลากร หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราได้พบเจอนับตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่บริเวณของบริษัทจนกระทั่งกลับออกมา สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้เราสามารถที่คาดการณ์ถึง “ความน่าจะเป็น” ขององค์กรนั้นได้ หรือในบางครั้งหากรู้สึกว่ายังไม่ชัดพอ ก็สามารถสอบถามกับผู้สัมภาษณ์ หรือบุคลากรที่ได้พบเจอในบริษัทนั้นได้ครับ สิ่งนี้จะช่วยให้เราสามารถประเมินบริษัทได้อย่างชัดเจนมากขึ้น และนำมาประเมินได้ว่าเราต้องการร่วมงานกับบริษัทนี้หรือไม่

เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อใดก็ตามที่คุณได้เข้าสัมภาษณ์งาน อย่าลืมที่จะลองใช้แนวทางเพื่อวิเคราะห์บริษัทที่คุณได้เข้าไปสัมภาษณ์ เมื่อนั้นคุณจะสามารถลดความเสี่ยงของการเข้าไปเจอกับวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เข้ากับคุณได้มากขึ้น และหากว่าคุณพบเจอสถานการณ์ที่คุณไม่ผ่านการสัมภาษณ์นั้น ขอให้คุณอย่าด้อยค่าของตนเอง เพราะสิ่งนั้นไม่ได้แปลว่าคุณไม่เก่ง เพียงแต่อาจจะเป็นเรื่องของความเข้ากันได้ต่อตำแหน่งงานหรือบริบทขององค์กรนั้น ๆ เท่านั้นเอง ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังสมัครงานทุกท่านครับ

 

Credit: Image by Diva Plavalaguna from Pexels

 

[content_block id=1898]