HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.56 “ความเป็นผู้นำสไตล์เอเชีย ตอนที่ 3 มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพื้นฐานดีหรือเลวโดยกำเนิด?” – NOV, 2023
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.56 “ความเป็นผู้นำสไตล์เอเชีย ตอนที่ 3 มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพื้นฐานดีหรือเลวโดยกำเนิด?” – NOV, 2023

16 พ.ย..2023

สำหรับ AI Newsletter ฉบับที่ 56 นี้ ผมอยากจะชวนทุกท่านคุยต่อจากครั้งแล้ว ที่เราพูดถึงเรื่อง “ความเป็นผู้นำในแบบเอเชีย” กันครับ

“ความเป็นผู้นำสไตล์เอเชีย ตอนที่ 3 มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพื้นฐานดีหรือเลวโดยกำเนิด?”


ทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์ประเภทใดดีกว่ากัน ดีโดยกำเนิดหรือเลวโดยกำเนิด?
ในโลกของการบริหารจัดการ บ่อยครั้งที่ “ทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดดี” และ “ทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดเลว” ได้รับการนำมาอ้างอิง แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ มีภาพจำเกี่ยวกับทฤษฎีเหล่านี้อย่างไรบ้าง

ทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดดีนั้น เผยแพร่โดยเมิ่งจื่อ ส่วนทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดเลวได้รับการเผยแพร่โดยสวินจื่อ ทั้งสองเป็นนักปรัชญาชาวจีนที่มีแนวคิดตามลัทธิขงจื๊อ ซึ่งถ้าฟังผ่าน ๆ อาจจะรู้สึกว่า ทั้งสองทฤษฎีนี้นำเสนอแนวคิดที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

ว่ากันว่า บริษัทญี่ปุ่นนั้นบริหารจัดการโดยใช้หลักทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดดี กล่าวคือ การบริหารจัดการด้วยความปรารถนาดี และเชื่อว่า “ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน ถ้าได้พูดคุยกัน ก็จะผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ ไปได้ในท้ายที่สุด”

แต่เมื่อเกิดเหตุอื้อฉาว เมื่อบุคคลไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบองค์กร เมื่อผลประกอบการของบริษัทแย่ลง ก็ดูเหมือนว่า มีหลายบริษัทที่ยกระดับการกำกับดูแลพนักงาน โดยเลือก “บริหารจัดการตามทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดเลว” ซึ่งผมมองว่า ทิศทางการบริหารจัดการดังกล่าวโดยพื้นฐานแล้วไม่ได้ผิดอะไร

โดยทั่วไป “การบริหารจัดการตามทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดเลว” มักจะถูกมองว่าเป็นการบริหารแบบ “ไม่เชื่อใจ และตั้งข้อสงสัยในตัวผู้ใต้บังคับบัญชา” ซึ่งการตีความดังกล่าวนั้นไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ดังนั้น เราจะมาพิจารณาถึงนัยยะดั้งเดิมของทฤษฎีนี้ผ่านการถอดรหัสถ้อยคำของสวินจื่อที่เป็นผู้เผยแพร่ “ทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดเลว” กัน

“ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเลวทราม ความดีนั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เดิมทีมนุษย์มีนิสัยชื่นชอบผลประโยชน์ เมื่อมนุษย์ประพฤติตนตามสันดาน จะนำมาซึ่งการต่อสู้แย่งชิง ไม่ก่อให้เกิดการเสียสละ

(ย่อ)

ด้วยเหตุนี้ ถ้ามนุษย์ประพฤติตนตามนิสัยที่แท้จริง หรือตอบสนองตามอารมณ์ การต่อสู้แก่งแย่งก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งมนุษย์อาจกระทำการที่เกินขอบข่ายของตน และทำให้หลักตรรกะต่าง ๆ เสียไป ส่งผลให้เกิดความวุ่นวาย ดังนั้น จึงต้องยึดมั่นในคำสอน และหลักมารยาท ซึ่งจะสร้างความรู้สึกเสียสละ และจะส่งผลให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ดำเนินไปตามตรรกะ และนำไปสู่การปกครองที่ถูกต้อง”

ข้อความข้างต้น คือ ใจความหลักของทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดเลว เมื่อได้อ่านแล้วจะพบว่า ถึงแม้แนวคิดนี้จะบอกว่ามนุษย์นั้น “เลวทราม” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเลวทรามนั้นได้ตลอดชั่วชีวิต ในทางกลับกัน หากรับมืออย่างถูกต้อง ก็จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้

กล่าวคือ สวินจื่อไม่ได้ต้องการบอกว่า “มนุษย์นั้นเลวทรามอย่างแก้ไขไม่ได้” แต่กลับต้องการสื่อสารให้เห็นถึงความสำคัญของการพยายามที่จะไม่ทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้นต่างหาก

นอกจากนี้ เขายังกล่าวไว้ด้วยว่า “สาเหตุที่พระเจ้าอวี่ (ปฐมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์เซี่ย) เป็นพระเจ้าอวี่ได้นั้นก็เพราะพระองค์ดำเนินตามหลักศีลธรรมจรรยาและกฎเกณฑ์ ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจหลักศีลธรรมจรรยาและกฎเกณฑ์ได้อย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถนำมาปฏิบัติได้ด้วยเช่นกัน คนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน ต่างก็มีความสามารถที่จะรับรู้และปฏิบัติตามหลักศีลธรรมจรรยาและกฎเกณฑ์ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเหมือนกับพระเจ้าอวี่ได้”

สวินจื่อต้องการจะสื่อว่า “ถึงแม้จะเป็นปุถุชน แต่ถ้าพยายามอย่างถูกต้อง ก็จะสามารถเป็นเหมือนกับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้” เมื่อตีความดังนี้แล้ว แนวคิดนี้ก็แทบจะไม่ต่างจาก “ทฤษฎีธรรมชาติมนุษย์โดยกำเนิดดี” ของเมิ่งจื่อไปเสียเท่าไหร่

เมื่อเทียบกับแนวคิด “ธรรมชาติของมนุษย์เดิมนั้นดีงาม” ของเมิ่งจื่อ มุมมองที่สวินจื่อนำเสนอนั้นสะท้อนโลกแห่งความจริงมากกว่า โดยสื่อว่า “ถ้าไม่ระมัดระวังก็จะแย่ลง แต่ถ้าพยายามก็จะทำให้ดีขึ้นได้”

สิ่งนี้ทำให้เราทราบได้ว่า สวินจื่อไม่ได้หมดหวังกับมนุษย์ และมีความหวังเป็นอย่างมากกับศักยภาพของมนุษย์


ความสมดุลระหว่างค่านิยม (Value) กับระบบ (System)
ถ้าเช่นนั้น อะไรที่เราควรจะต้องพยายามทำ?

สิ่งนั้นก็คือ การปฏิบัติตามหลักศีลธรรมจรรยา (การประพฤติที่ถูกต้อง) และกฎเกณฑ์ (กฎระเบียบ) นั่นเอง ซึ่งสวินจื่อกล่าวไว้ว่า จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้เลย

ผมคิดว่า มุมมองที่สวินจื่อมีต่อมนุษย์นั้นทันยุคสมัยมาก อีกทั้งยังปฏิบัติได้จริงอีกด้วย เมื่อนำมาพิจารณาในแง่ของธุรกิจ ก็สามารถกล่าวได้ว่า มันคือความสมดุลระว่างค่านิยม (Value) และระบบ (System)

ความเชื่อที่ว่า “ถ้าดำเนินตามค่านิยมของบริษัทแล้ว ก็จะทำให้บริษัทเป็นบริษัทที่ดี” นั้น เป็นวิธีบริหารโดยค่านิยม (การบริหารโดยยึดเอาค่านิยมเป็นพื้นฐาน) ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าจะบริหารด้วยแนวคิดเพียงเท่านี้ ก็อาจจะเป็นการมองโลกในแง่ดีและไร้เดียงสาจนเกินไป

ในขณะเดียวกัน ด้วยโครงสร้างการจัดการทำให้เราจำเป็นต้องควบคุมพนักงาน แต่ถ้าคุมเข้มจนเกินไปก็จะทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดและตีใจออกห่าง ถ้ามองเพียงผิวเผิน แนวคิดทั้งสองอาจจะดูขัดแย้งกัน แต่นี่เป็นสองสิ่งที่ผู้นำจะต้องมี เรียกได้ว่าจะต้องเดิน “ทางสายกลาง”

แล้วบริษัทของคุณผู้อ่านเป็นอย่างไรบ้างครับ บริษัทสร้างระบบการบริหารจัดการโดย “ให้ความเชื่อใจพนักงาน” และมองว่า “มนุษย์นั้นผิดพลาดได้” แล้วหรือยังครับ

ผมขอจบจดหมายข่าวฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่าน

 

*ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ!
https://asian-identity.com/hr-egg-jp/newsletter/nov-2023

*ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่นเชิญอ่านที่นี่
https://asian-identity.com/hr-egg-th/event 

*คุณนากามุระ CEO บริษัท Asian Identity ออกหนังสือเล่มใหม่เกี่ยวกับแนวคิดแบบเอเชีย กดอ่านรายละเอียดได้ที่นี่

Kinokuniya > https://thailand.kinokuniya.com/bw/9784866214498
Amazon > https://tinyurl.com/3wffbdkj 

 

Credit:
Photo by Pixabay from Pexels
Photo by Monstera Production from Pexels
Photo by Ekaterina Bolovtsova from Pexels

 

[content_block id=1898]