HOME > Articles > มาสายเป็นประจำ จัดการตัวเองอย่างไรดี
HR Blog

มาสายเป็นประจำ จัดการตัวเองอย่างไรดี

24 ก.พ..2020

ไม่มีใครอยากมาสาย ไม่มีใครอยากเสียประวัติด้วยนิสัยเสียของตัวเอง แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เผลอทำผิดพลาดไปเป็นประจำ กับเรื่องเล็กที่กลายเป็นเรื่องใหญ่

จะมีวิธีการไหนไหมนะในการจัดการตัวเอง และพลิกตัวเองขึ้นมาเป็นคนใหม่ในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม ถ้าคุณเชื่อว่าตัวคุณเองเปลี่ยนแปลงได้ และอยากจัดการมัน มานั่งคุยกันค่ะ

 

หาจุดเปลี่ยนของตนเอง

 

สารภาพกันตรง ๆ ตรงนี้คือ ผู้เขียนเองก็เป็นคนมีนิสัยเสียในการทำงานเยอะมากมาก่อน ไม่ว่าจะทั้งไปทำงานไม่ตรงเวลา โต๊ะทำงานสุดรกที่มีเอกสารและเครื่องเขียนกองเกลื่อนรอบโต๊ะ หรือการทำงานเอกสารแบบมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เดิม ๆ ซ้ำ ๆ เช่น สไลด์ไม่ใส่เลขหน้าบ้าง ไม่ได้ตรวจคำผิดก่อนส่งบ้าง หรือนั่งท่าเดิมติดโต๊ะเป็นเวลานาน ๆ จนปวดหลังไหล่คอบ้าง

 

จนวันหนึ่งได้มีโอกาสขึ้นมาเป็นพี่คุมทีม แน่นอนว่า การขึ้นมาเป็นพี่นำทีมน้อง ๆ เราก็หวังว่าน้อง ๆ ของเราจะไม่ได้แค่มีผลงานที่ดี แต่ก็คงอยากให้น้อง ๆ มีวินัยในการทำงานที่ดีด้วย ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างน้อง ๆ ให้มีวินัยที่ดีได้ ถ้าตัวเองที่เป็น “พี่” ไม่ได้ปฏิบัติตนให้มีวินัยเป็นตัวอย่างก่อน เลยกลายเป็นจุดพลิกผันใหญ่ที่อยากจะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง อยากจัดการ “นิสัย” ของตัวเองให้ดีขึ้นบ้าง แต่จะทำอย่างไรได้บ้างนะ จึงเริ่มเปิดค้นศึกษาเกี่ยวกับการจัดการตัวเองอย่างจริงจัง และเรื่องราวที่จะมาเขียนเล่าให้ผู้อ่านต่อจากนี้ ก็คือผลจากการศึกษา และได้ทดลองทำด้วยตนเองค่ะ

 

Micro Habit: จะทำการ “ใหญ่” จงเริ่มจากการ “เล็ก” ก่อน

 

ในทางจิตวิทยามีหลักการที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดการนิสัยตัวเองที่ทำซ้ำ ๆ เป็นประจำจนกลายเป็นนิสัยหรือกิจวัตร หรือ Habit ที่ได้ลองด้วยตนเองแล้ว อยากจะมาแนะนำในบทความนี้ คือ “Micro Habit” ค่ะ

Micro Habit คือหลักการที่เชื่อว่า การจัดการกับนิสัยที่ทำจนเคยชินของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการลดละเลิกนิสัยเสีย หรืออยากสร้างนิสัยใหม่ ควรจะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตนเองก่อน และให้พฤติกรรมที่เล็ก ๆ มาก ๆ จนเรารู้สึก “กระจอก” ที่จะเปลี่ยนแปลงนี่แหล่ะ เป็นแรงกระเพื่อมที่จะสร้างเป็นนิสัยใหม่ให้ติดตัวได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตัวเองเป็นคนไปทำงานสายเป็นประจำ การแก้ไขตนเองโดยการบอกว่า ต่อจากนี้ ฉันจะตื่นเช้าขึ้นและมาทำงานก่อนเวลาติดต่อกันหนึ่งเดือนให้ได้ เชื่อไหมคะ เกินครึ่ง หรือเกิน 70% ด้วยซ้ำ ความตั้งใจนี้จะจบแค่สัปดาห์แรกที่ได้ลงมือทำ เพราะสมองเราจะมีความ“เคยชิน” ที่จะแอบมากระชากข้างหลังเราตลอดเวลา โอ๊ย มันใหญ่ไป ยากไป เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเจอจุดสะดุดสักครั้ง ความยับยั้งชั่งใจก็จะหายไป คุณก็อาจจะล้มเลิกความพยายามนี้ได้อย่างง่ายดาย

ในทางกลับกัน แทนที่จะตั้งเป้าที่ดูใหญ่เกินตัว เรามาลองเริ่มตั้งเป้าจากการเปลี่ยนพฤติกรรมที่เล็กจนรู้สึกกระจอกที่จะลองทำดูกันค่ะ

 

แตกให้เจอพฤติกรรมที่เล็กจนรู้สึก “กระจอก”

 

เริ่มจากลองเอาพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำมานั่งแตกเป็นพฤติกรรมย่อย ๆ ดูว่าในลูปของการใช้ชีวิตของเราทุก ๆ วัน มีอะไรที่เราเจอหรือติดเป็นประจำที่ส่งผลให้ไปทำงานไม่ตรงเวลาบ้าง ยกตัวอย่างของผู้เขียนคือ หลังจากลองมานั่งทบทวนชีวิตประจำวันตอนเช้าของตัวเอง ก็จะพบว่าสิ่งที่ทำให้สายเป็นประจำไม่ว่าจะตื่นเช้าขนาดไหน ก็คือการหาของตอนเช้าไม่เจอค่ะ! เช่น แว่นตา สายคล้องคอบัตรตี๊ดเข้าตึก เป็นต้น คราวนี้แตกลงไปให้ละเอียดอีก ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมในลูปนี้ที่เล็กพอจน “กระจอก” ที่เราจะจัดการได้บ้าง

 

 

แล้วพฤติกรรมต้อง “กระจอก” ขนาดไหนถึงจะตั้งเป็น Micro Habit ได้ ตามทฤษฎีนี้บอกว่า มันจะต้องเป็นสิ่งที่ถ้าจะทำแล้วต้องรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามกับมัน (Put No Effort) หรือต้องจัดสรรเวลาให้มันขนาดนั้น เช่น อยากเรียนท่องศัพท์ภาษาจีน จะเริ่มจากท่องวันละหน้า ถ้าเป็นคนไม่มีวินัยเพียงพอน่าจะยากไป ลองจากวันละประโยคถามมาตอบไปก่อนไหม อยากอ่านหนังสือเล่มใหม่ให้จบ ก็เริ่มจากวันละย่อหน้าก่อนไหม เช่น ผู้เขียนเจอเรื่องหาแว่นไม่เจอ ก็ลองย่อยพฤติกรรมที่ทำให้หาแว่นไม่เจอให้ถึงพฤติกรรมเล็กที่สุดดู เช่น เจอว่าชอบวางแว่นสะเปะสะปะ ก็เริ่มแก้จากแค่กำหนดที่วางก่อนนอนให้มันทุกวัน ก่อนนอนต้องเดินไปเช็คก่อน ว่าแว่นอยู่ที่วางของมันแล้วหรือยัง เอาให้มันรู้สึก “กระจอก” ที่สุดจนเราบอกตัวเองว่า ก็แค่นี้เอง! แล้วทำไปทุกวันค่ะ ทำจนให้มันรู้สึกว่ากระจอกไปเลย

 

ผูก Micro Habit ใหม่ไปกับสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำ

 

แล้วจะเริ่มทำ Micro Habit นี้ให้เป็นประจำได้อย่างอัตโนมัติแบบไม่ลืม หรือทำให้ตัวเองไม่รู้สึกว่า “เสียเวลา” หรือขี้เกียจที่จะทำได้อย่างไร มีหนึ่งเทคนิคคือ ให้ลองผูกพฤติกรรมใหม่นี้ไปกับสิ่งที่เราต้องทำเป็นประจำอยู่แล้วค่ะ

 

 

ตัวอย่างเช่น ถ้าคนชอบชงกาแฟทานเองที่บ้านและอยากท่องประโยคภาษาจีน ลองใช้เวลาที่ต้มน้ำแล้วรอน้ำเดือดมาหยิบหนังสือมาท่องหนึ่งประโยคนี้ไหม ถ้าเป็นคนอยากอ่านให้จบ โดยเริ่มจากทีละหนึ่งพารากราฟ ลองใช้เวลาเข้าห้องน้ำ เอาหนังสือไปวางข้างโถ แล้วทำธุระส่วนตัวไปอ่านย่อหน้านั้นไป หรือถ้าเป็นคนชอบคุยโทรศัพท์กับแฟนทุกเย็น แต่ก็อยากเริ่มการวิ่งลู่ที่บ้านไปด้วย เสียบหูฟังให้วิ่งไปคุยไปไหม ของผู้เขียนเองก็ใช้ช่วงเวลาอาบน้ำก่อนนอนในการเอาแว่นไปเช็ดล้างทำความสะอาด แล้ววางมันในที่ที่กำหนด เมื่อผูกไปกับสิ่งที่ต้องทำประจำอยู่แล้ว ก็จะไม่ลืม ไม่เสียเวลา และยิ่งรู้สึกว่าการสร้างพฤติกรรมใหม่นี้มัน “กระจอก” ที่จะทำยิ่งกว่าเดิม

 

Quality X Quantity

 

จุดสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมคนเราคือ คุณภาพ x ปริมาณ คือ ถ้าไม่เริ่มจากคุณภาพความเข้มข้นของการกระทำ เช่น ลดความหวานในกาแฟลงวันละนิด วันละนิด จนชินกับกาแฟดำในที่สุด ก็อยู่ที่ความถี่หรือปริมาณ เช่น การทำบ่อยครั้งขึ้น นานขึ้น ทีละเล็ก ๆ น้อย ๆ หลักการเปลี่ยนตนเองจาก Micro Habit ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเริ่มจากพฤติกรรมแสน “กระจอก” นี้จนติดจนทำได้เป็นประจำแล้ว ก็ลองปรับปริมาณ หรือ คุณภาพในการทำดูค่ะ ค่อย ๆ ทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยใหม่ของเราไปในที่สุด

 

หลังจากที่ลองสร้างนิสัยใหม่ในการจัดการกับแว่นตัวเองดู ก็พบว่าประหยัดเวลาวิ่งหาแว่นทั่วบ้านตอนเช้าไปได้โขทีเดียว ชีวิตตอนเช้ามีประสิทธิภาพขึ้นมาก พอได้ใจเรื่องนี้แล้ว ก็เริ่มไปหา Micro Habit อันต่อไปในการจัดการตัวเองต่อ ทำไปทุก ๆ วันเหมือนเล่นเกมส์และเก็บเลเวล ที่ได้ผลลัพธ์คือตัวเราเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นทุก ๆ วัน เชื่อผู้เขียนสิคะว่า ถ้าคนมีวินัยน้อยอย่างผู้เขียนทำได้ คุณผู้อ่านก็ทำได้เช่นกัน

 

——————-

> Subscribe เพื่อติดตามข่าวสารน่าสนใจ และบทความแนะนำที่คนทำงานไม่ควรพลาด:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/subscribe

> ติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือคุยกับที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/contact

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]