HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.25 วัฒนธรรม และ อัตลักษณ์ – MAY , 2019
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.25 วัฒนธรรม และ อัตลักษณ์ – MAY , 2019

23 ก.ค..2019

จดหมายข่าวฉบับที่ 25 ครับ เดือนนี้ผมตั้งใจว่าจะลองเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ “วัฒนธรรม และ อัตลักษณ์” โดย.จะเขียนในรูปแบบบทความเชิงอภิปรายครับ

ที่ประเทศญี่ปุ่น สมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์ และ มีการเปลี่ยนรัชสมัยจากยุคเฮเซ เข้าสู่ยุค “เรวะ” ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ที่ประเทศไทยก็มีการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทั้งประเทศไทย และ ประเทศญี่ปุ่นอยู่บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองในช่วงเวลาเดียวกันเลยครับ ในแง่ของประวัติศาสตร์ ทั้งสองประเทศมีการเจริญสัมพันธไมตรีกันมาอย่างยาวนาน ผมคิดว่าการที่ทั้งสองประเทศเข้าสู่จุดเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาเดียวกันนั้นน่าจะเป็นพรหมลิขิตนะครับ

วัฒนธรรม และ อัตลักษณ์

ชื่อ “เรวะ” นี้เป็น “ชื่อยุคสมัย (Gen-Go)” ครับ ผมทราบมาว่าแนวคิดการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนจักรพรรดินั้น พบเห็นเพียงไม่กี่ที่ในโลกนี้ครับ ส่วนประเทศไทยก็มีปฏิทินแบบนับปีพุทธศักราชอันเป็นเอกลักษณ์นะครับ ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองต่างมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ และ อัตลักษณ์ของตนครับ ในบรรดาประเทศทั้งหลายในเอเชีย ทั้งไทย และ ญี่ปุ่น ต่างก็เป็นประเทศที่ได้รับความนิยมด้านการท่องเที่ยวเสน่ห์เหล่านี้น่าจะมาจากความอุดมสมบูรณ์ทางด้านวัฒนธรรมก็ว่าได้นะครับ

ความอุดมสมบูรณ์ทางวัฒนธรรมนั้นมีความสัมพันธ์กับการไม่โดนรุกรานจากประเทศอื่นไม่มากก็น้อย ตามหลักการทางประวัติศาสตร์ เมื่อมีการรุกรานประเทศอื่น ผู้รุกรานมักจะทำลายสัญลักษณ์ของประเทศนั้น หรือไม่ก็สร้างสัญลักษณ์ใหม่ขึ้นแทนที่ เทนชิน โอคาคุระบุคคลที่ผมแนะนำในจดหมายข่าวฉบับที่แล้วเป็นบุคคลที่ทำการวิจัยประวัติศาสตร์เอเชียครับ เขากล่าวว่าอารยธรรมโบราณซึ่งเคยเฟื่องฟูในอินเดีย และ จีนนั้น ถูกทำลายจนสิ้นสลายโดยชาวมองโกล ด้วยเหตุนี้ วัฒนธรรมจึงถูกตัดตอน ยุคปัจจุบันก็เช่นกัน ผู้ก่อการร้ายทำลายพระพุทธรูป และ สิ่งต่างๆ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแค่เป็นการทำลายองค์พระพุทธรูป แต่ยังเป็นการทำให้วัฒนธรรมขาดตอน มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ การทำลายอัตลักษณ์ด้วยครับ

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่ามีเพียงประเทศไทย และ ญี่ปุ่นเท่านั้นที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของยุโรป และ อเมริกา ญี่ปุ่นมีอักษรคันจิ ไทยมีอักษรไทย ทั้งสองประเทศยังมีตัวอักษรดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ สิ่งนี่น่าจะสัมพันธ์กับความเป็นมาเชิงประวัติศาสตร์ตามที่กล่าวข้างต้นครับ ในทางกลับกัน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น มีหลายประเทศได้มีการเปลี่ยนมาใช้ภาษาที่เขียนด้วยอักษรอังกฤษ แน่นอนว่าในบางแห่งก็เปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการอย่างจงใจ เช่น ประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากคำนึงถึงการค้ากับนานาประเทศ ทั้งนี้ ภาษานั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงผลการตัดสินใจ และ ค่านิยมของแต่ละประเทศครับ

การใช้ภาษาอังกฤษ หรือ ใช้อักษรอังกฤษน่าจะทำให้สื่อสารกับต่างชาติได้ง่ายขึ้น ประเด็นนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจครับ ในทางกลับกัน สิ่งนี้ก็เหมือนกับการลบล้างวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบทอดกันมาอย่างยาวนานในประเทศนั้นๆ ครับ ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ประเทศไทย และ ญี่ปุ่นยังมีตัวอักษรของประเทศตนเองครับ สำหรับเรื่อง “ชื่อยุคสมัย (Gen-Go)” นั้น ผู้คนบางกลุ่มถกว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็นครับ เป็นแนวคิดที่มองว่าปีคริสต์ศักราชนั้นดีกว่า เพราะอำนวยความสะดวกใช้เชิงธุรกิจมากกว่าครับ แต่ผมมองว่าการที่เราล้มเลิกสิ่งที่มีมาแต่โบราณไปเพื่อความสะดวกสบายนั้น อย่างไรก็เป็นเรื่องน่าเสียดายครับ

เมื่อไม่นานมานี้ มหาวิหารนอเทรอดามถูกไฟไหม้เสียหาย ส่งผลให้ชาวเมืองปารีสสะเทือนใจเป็นอย่างมากครับ น่าจะเป็นเพราะมหาวิหารนอเทรอดามเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมนะครับ มหาวิหารนอเทรอดามน่าจะได้รับการซ่อมแซมจนกลับมามีสภาพเดิม สมมุติว่าถ้ามีการเปลี่ยนดีไซน์มาเป็นแบบยุคใหม่ เพื่อจะได้ไม่เกิดเพลิงไหม้อีกเป็นครั้งที่ 2 ทุกท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ ชาวเมืองปารีสคงจะต่อต้านนะครับ นี่น่าจะเป็นเพราะชาวฝรั่งเศสทั้งหลายสะท้อนภาพอัตลักษณ์ของ “ความเป็นฝรั่งเศส” หรือ “ความเป็นปารีส” ผ่านสิ่งที่เป็นประเพณีดั้งเดิม และ สิ่งที่มีประวัติความเป็นมาครับ

ที่จริงประเด็นที่แสดงถึงความขัดแย้งระหว่าง “มาตรฐานสากล” กับ “การให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมแต่ละชาติ” ก็ปรากฏให้เห็นเป็นธรรมดาในวงการธุรกิจของพวกเราเช่นกันครับ เช่น การวางระบบงาน HR ให้เป็นแบบเดียว และ ใช้ทั่วโลก การทำให้กฎระเบียบของบริษัทมีมาตรฐานสากลเพื่อทุกคนจะได้สามารถทำงานได้ในทุกประเทศไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ท่ามกลางโลกที่เชื่อมต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ต กำแพงกั้นขวางระหว่างประเทศต่างๆค่อยๆหายไป ประเด็นข้างต้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นกระแสความเปลี่ยนแปลงที่มีความจำเป็นครับ

ในทางกลับกัน ผมก็คิดว่าการมองข้ามวัฒนธรรมต่างๆ ของแต่ละประเทศ และ ทำการปรับกฎเกณฑ์ให้เหมือนกันอย่างฉับพลันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีครับ เช่น ในยุค 90 ประเทศญี่ปุ่นได้พยายามนำหลักการ Result-based Human Resource Management แบบอเมริกาเข้ามาใช้ แต่ก็ล้มเหลวครั้งใหญ่ครับ เพราะว่าคนญี่ปุ่นมีนิสัยให้ความสำคัญกับความเป็นทีมเวิร์ค และ ขั้นตอนการทำงาน ไม่ได้ดูที่ผลงานเพียงอย่างเดียวครับ นอกจากนี้ สำหรับที่ประเทศไทย หากองค์กรพยายามนำระบบ HR ที่เน้นด้านความสามารถจริงเป็นหลักมาใช้ ก็จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จกันครับ เพราะประเทศไทยเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับความอาวุโส และ ลำดับชั้น การทำความเข้าใจลักษณะเด่นทางวัฒนธรรม แล้วปรับเปลี่ยนระบบก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็น Business Literacy (ความรู้ความเข้าใจในธุรกิจ) เชิงสากลนะครับ

ในอนาคต สังคมของเราจะยิ่งไร้ซึ่งกำแพงคั่นระหว่างประเทศครับ เราต้องไม่ลืมที่จะเรียนรู้มาตรฐานทางธุรกิจในแบบสากล พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของชาวไทย และ ชาวญี่ปุ่นซึ่งเกิด และ เติบโตขึ้นในประเทศที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม รวมทั้งเข้าหาข้อดีของแต่ละประเทศครับ คนเอเชียมีเอกลักษณ์ความเป็นคนเอเชียครับ ผมคิดว่าถ้าโลกกลายเป็นแบบอเมริกาไปหมด ก็ไม่น่าสนใจครับ ผมจึงอยากมีความตระหนักถึงเอกลักษณ์ของตนเอง และ อยากจะรู้สึกขอบคุณสิ่งเหล่านี้ต่อไปครับ

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]