HOME > Articles > Management with Luck การบริหารกับโชค
HR Blog

Management with Luck การบริหารกับโชค

05 ส.ค..2021

ในช่วงที่ธุรกิจต้องผจญกับความเสี่ยงที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตจากโรคระบาด ความเครียดและความกังวลของพนักงานที่พร้อมจะสร้างคลื่นใต้น้ำได้ทุกเมื่อ หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางภาครัฐที่เอาแน่เอานอนได้ยาก ไม่ว่าใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ก็มีสิทธิทั้งนั้นที่จะรู้สึกว่า ตัวเอง “โชคร้าย” มาก ๆ เลย และยิ่งเรารู้สึกว่าเรา “โชคร้าย” มากเท่าไหร่ ไอ้เจ้าโชคร้ายต่าง ๆ ก็ยิ่งระเนระนาดพัดเข้ามาหาเราให้เป็นวิกฤตที่ต้องจัดการในทุก ๆ วัน

เร็ว ๆ นี้ ผู้เขียนได้อ่านบทความทางจิตวิทยาว่าด้วยเรื่อง “โชค” กับการจัดการ​ “การรับรู้” โชคของตนเอง เลยเกิดการตั้งคำถามว่า จริง ๆ แล้วในทางการบริหารนั้น เราควรจะต้องก้มหัวยอมให้ “โชค” เป็นตัวนำทาง หรือเราสามารถจัดการ “โชค” ต่าง ๆ ที่เข้ามาหาเราได้มากแค่ไหน เลยเป็นที่มาของบล็อคชิ้นนี้ที่อยากชวนผู้อ่านทุกท่านมาขบคิดด้วยกันค่ะ

 

วังวนของความรู้สึกโชคร้าย

เคยไหมคะ เวลาที่เราเปิดเพลงเศร้าแล้วอินกับเพลง เพลงต่อไปที่เราจะอยากฟัง (ที่จะไม่ทำให้เรารู้สึกรำคาญ) ก็จะเป็นเพลงเศร้า หม่นมอง แล้วความรู้สึกก็จะยิ่งอิน หรือเทไปทางเศร้า หรือเวลาไปดูดวงแล้วหมอดูทักว่า ช่วงนี้ต้องระวังนะ ดวงคุณไม่ดีเลย มีแต่โชคร้าย ประสบอุบัติเหตุง่าย ไม่ว่าคุณจะเดินออกไปทำอะไร หรือแค่มีดบาดจากการหั่นหอมเบา ๆ คุณก็จะมองเห็นแต่โชคร้าย และอุบัติเหตุที่เข้ามาหาคุณตลอด กลายเป็นนอยด์โดยใช่เหตุตลอดเดือนแทน มีโอกาสอะไรมาก็จะกลัวไม่อยากคว้า เพราะคิดว่ามันต้องแย่กว่าเดิมแน่ ๆ เกิดอะไรขึ้นกับสมองของเรากันนะ

เมื่อคนเราเองประสบกับ “ความโชคร้าย” โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธรรมชาติของมนุษย์จะทำให้เราเกิดความรู้สึกแย่ โกรธ หดหู่ น้อยใจ หรืออารมณ์ทางด้านลบเกิดขึ้นมา ซึ่งถ้าลองสังเกตดี ๆ ถ้าเราเผลอปล่อยตัวเราไปตามความรู้สึกว่าเราโชคร้ายเมื่อไหร่ เราจะเริ่ม (เลือก) มองเห็นแต่เรื่องร้าย ๆ ที่ประดังประเดรอบตัวเราไม่หยุด สมองเราจะเริ่มคัดแต่เรื่อง “แย่” ที่เราเจอมาให้เราได้รับรู้ เหมือนเวลาที่เราอินเพลงอกหักอยู่ ถ้าเพลงต่อไปสุ่มเจอเพลงไอดอล BNK สดใสเกินนี่ก็จะกดเปลี่ยนทันที สมองเราจะเริ่มตัดรำคาญ ไม่ยอมรับรู้เรื่องดี ๆ ออกไป และกลายเป็นการเสพย์ติดเรื่องเศร้า เรื่องโชคร้ายมาไม่หยุด

ที่น่ากลัวคือ เมื่อคุณเริ่มเสพย์ติดเรื่องโชคร้ายแล้ว มุมมองของคุณอาจจะแคบลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อเกิดอะไรขึ้นมาอีก สมองเราจะเริ่มตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็น “โชคร้าย” ของเรา ของธุรกิจเรา มองไม่เห็นความเป็นไปได้ หรือทางออกให้กับเรื่องนั้น ๆ ก็เป็นได้ และเลวร้ายที่สุด ถ้าจิตใจคุณจดจ่อมากเกิน รู้ตัวไม่ทันอารมณ์ หรือออกมาจากจุดนั้นไม่ได้ มันอาจจะเริ่มสั่งสมเป็นความเครียดและอาจต่อยอดเป็นอาการซึมเศร้าและยอมแพ้ได้ในที่สุด

(ก่อนจะไปต่อ บทความนี้ไม่ได้จะบอกคุณว่า ท่ามกลางเรื่องร้าย ๆ ที่เรากำลังเผชิญ เราควรจะโลกสวยนะ ไม่ค่ะ เราสามารถมองเห็นโลกที่เลวร้ายได้ แต่จะทำอย่างไรให้ตัวเองสามารถปาดน้ำตา และลุกกลับมาหาทางออกได้อีกครั้ง)

 

เมื่อมองเห็นโอกาส สมองเราก็จะเริ่มมองหา “ความโชคดี”

ในทางกลับกัน ถ้าคุณไปดูหมอ แล้วมีหมอดูทักบอกคุณว่า เฮ้ย คุณจริง ๆ แล้วเป็นคนดวงแข็งมากเลยนะ แม้ว่าเคราะห์ร้ายนี้จะนานหน่อย แต่หลังจากพ้นเคราะห์นี้ไป คุณจะเจอแต่เรื่องดี ๆ พอกลับมาบ้าน เมื่อมีพายุพัดผ่าน แน่นอนท้อในช่วงแรก แต่ในใจคุณมีความหวังเล็ก ๆ ว่าคุณเชื่อว่าคุณเป็นคนดวงแข็ง ใจคุณจะเริ่มมองหาทางรอด เพราะเชื่อว่ามี เริ่มมองหาโอกาสบางอย่าง และตะครุบมันไว้ด้วยความเชื่อในใจ มุมมองจะไม่แค่เปิดกว้าง แต่จะเริ่มสอดส่ายหาโอกาส หาความเป็นไปได้ และมองเห็น “เรื่องดี ๆ” หรือฟ้าหลังฝนที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้อีกครั้ง

เมื่อเรา “เชื่อ” ว่าเราโชคดี เราจะเริ่มมองเห็นสิ่งที่เรามีอยู่ในมือ เริ่มเปิดรับความเป็นห่วง มิตรภาพ ความหวังดี หรือรวมถึงเรื่องที่ดี ความเป็นไปได้ และมองเห็น(และมองหา)โอกาสรอบตัวเราขึ้นมา เราจะเริ่มเห็นทางเลือกรอบตัวที่มากขึ้น สามารถคัดเลือกสิ่งที่ต้องการคว้าไว้เพื่อไปต่อได้จากมุมมองความเป็นไปได้ที่กว้างและหลากหลายขึ้น และสมองเราก็เริ่มมองเห็นทางแก้ปัญหาได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อธุรกิจเราติดหล่ม หากเราเอาแต่บอกลูกน้องว่า เฮ้ย มันแย่ละ ลูกค้าปฏิเสธหมดเลย ไม่มีทางไปต่อเลย ลูกค้าเข้าหาเราไม่ได้ แล้วทั้งทีมมองเห็นแต่ความโชคร้าย ลูกทีมอาจจะเริ่มยอมแพ้ หยุดคิด และมองเห็นจุดจบ ยกธงขาว แต่ในทางกลับกัน ถ้าหัวเรืออย่างเรา ท้อแล้วลุก เริ่มสื่อสารใหม่

“เราโชคร้ายจริง ๆ นะรอบนี้ แต่ในความโชคร้ายนี้ เรายังมี [บลาบลาบลา] ที่ไม่ได้สูญเสียตามไป และยังมี [บลาบลาบลา] ที่โชคดีกว่าคู่แข่งหรือคนอื่น ๆ อยู่นะ สิ่งที่เกิดขึ้นมันแค่ช่วงระยะนี้ แล้วมันจะผ่านไปได้ในที่สุด

เราน่าจะลองหาทางทำอะไรได้จากสิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี้ไหม ทุกคนคิดว่าอย่างไร”

เมื่อเราสามารถช่วยให้ทีมของเรามองเห็นความเป็นไปได้ หรือความ “โชคดี” ที่ยังมีอยู่ในวิกฤตได้ ประกายความหวังจะเริ่มได้รับการมองเห็น ลูกทีมคุณจะเริ่มเชื่อในความโชคดีที่มีอยู่ ความหวังที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลให้ลูกทีมยังรักษากำลังใจได้ อาจจะถึงขั้นยกมือช่วยคุณเสนอไอเดีย ช่วยตามหาโอกาส หรือร่วมคิดหาทางออกไปกับบริษัทด้วยก็ได้ เนื่องจากสัญชาตญาณที่สำคัญของมนุษย์ เมื่อเราเริ่มมองเห็นทางรอดหรือความหวังแล้ว เราจะเริ่มตะเกียกตะกายหาทางต่อยอดไปให้ไกลที่สุด

นี่คือจิตวิทยาการบริหารอย่างหนึ่ง ถ้าเราสามารถทำให้ทีมเราเชื่อว่า ทีมเรา(ยัง)โชคดีนะ ทีมเราก็จะมองหา ตามหา และชี้เป้า “ความโชคดี” ของทีมเราไปเรื่อย ๆ และทำให้ทีมงานของเรามองเห็นโอกาสได้มากกว่าทีมอื่น ๆ ที่ประสบอยู่ในวิกฤตเดียวกันได้ค่ะ

ใน HR Blog ครั้งถัดไป เราจะมาชวนขบคิดกันต่อค่ะ ว่าถ้าเราอยากจะบริหารทีมโดยให้ “โชค” เป็นตัวช่วย เราจะมีวิธีการตั้งคำถามเพื่อจัดการความคิดของทีมของเราอย่างไรเพื่อเปลี่ยนทีมที่ ‘โชคร้าย’ เป็นทีมที่ ‘โชคดี’

——————-

> Subscribe เพื่อติดตามข่าวสารน่าสนใจ และบทความแนะนำที่คนทำงานไม่ควรพลาด:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/subscribe

> ติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือคุยกับที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/contact

 

Credit: Photo by Cristian Escobar from Unsplash

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]