HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.32 ข้อคิดสู่การเริ่มต้นปีค.ศ. 2020 – การรักใคร่ การใส่ใจกับอนาคต และ การพิจารณาด้วยตนเอง
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.32 ข้อคิดสู่การเริ่มต้นปีค.ศ. 2020 – การรักใคร่ การใส่ใจกับอนาคต และ การพิจารณาด้วยตนเอง

13 ม.ค. 2020
Katsuhiro Nakamura (Jack)Katsuhiro Nakamura (Jack)

จดหมายข่าวฉบับที่ 32 นี้ เป็นฉบับแรกของปีค. ศ. 2020 ผมจึงจะขอเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงปีใหม่นี้นะครับ

ข้อคิดสู่การเริ่มต้นปีค.ศ. 2020 – การรักใคร่ การใส่ใจกับอนาคต และ การพิจารณาด้วยตนเอง


ปีค.ศ. 2020 ซึ่งความขัดแย้งภายในโลกปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น
ข่าวใหญ่ในช่วงต้นปีค.ศ. 2020 ที่ทำให้ชาวโลกตื่นตระหนกกันถ้วนหน้าก็คือข่าวการลอบสังหารผู้บัญชาการหน่วยทหารของประเทศอิหร่านโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา ผมเขียนบทความนี้ขึ้นในวันที่ 6 มกราคม ขณะนี้ยังไม่เกิดเหตุรุนแรงใดตามมา แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลในเชิงลบต่อความสงบสุขของโลกในปีค.ศ. 2020 อย่างแน่นอน

การที่อเมริกาสังหารนายพล สุเลมานี (Soleimani) ซึ่งเป็นดั่งฮีโร่ของชาวอิหร่านนั้น ส่งผลให้อิหร่านโกรธเคืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และ ประกาศว่าจะล้างแค้น ส่วนประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ก็แถลงว่า หากอิหร่านเอาคืน อเมริกาก็จะโจมตีสถานที่เป้าหมายจำนวน 52 แห่ง

“สถานที่เป้าหมาย 52 แห่ง” นี้ เป็นการแทนจำนวนคน “52 คน” ที่ถูกจับเป็นตัวประกันเมื่อครั้งที่อิหร่านเข้ายึดสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงเตหะรานในสมัยประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ แผนการข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความคับแค้นใจที่ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์มีต่อประเทศอิหร่าน

อเมริกา และ อิหร่านเป็นประเทศที่เกลียดชังซึ่งกันและกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี ความเกลียดชังนั้นนำมาซึ่งความเกลียดชังในระดับที่สูงขึ้น หลายปีมานี้ สถานการณ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

ตามที่ผมได้กล่าวข้างต้น ในช่วงหลายปีมานี้ ความขัดแย้งระหว่างประเทศก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนในโลกของเรา เช่นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และ เอเชียตะวันออก เป็นต้น ทั้งนี้ พวกเราควรจะพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนี้อย่างไรดีครับ


พูดคุยด้วย “ความรัก” และ “ความใส่ใจในอนาคต”
ผมว่าเราควรจะย้อนกลับไประลึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าเคยสอนไว้ว่า “ความเกลียดชังไม่เคยสิ้นสุดลงโดยความเกลียดชัง มันสิ้นสุดลงด้วยความรักเพียงอย่างเดียว”

หากเราเกลียดชังอีกฝ่ายที่เกลียดชังเรา ก็จะไม่มีอะไรดีขึ้นมา เวลาที่ถูกใครก็ตามเกลียดชัง เราได้เคารพความเห็นของอีกฝ่าย รับฟัง และ พยายามพูดคุยอย่างไม่ลดละแล้วหรือยัง ผมคิดว่านี่คือประเด็นที่สำคัญกว่า การรู้สึกโกรธ หรือ ใช้ความรุนแรงนั้นมีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์กลับไปสู่จุดที่เลวร้ายเหมือนเดิม

ในอดีต นายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้กำหนดนโยบาย “Forgive, but never forget.” (ให้อภัย แต่จะไม่มีวันลืม) สำหรับใช้บริหารจัดการหลังการสังหารหมู่ “Sook Ching” ซึ่งญี่ปุ่นกระทำในสมัยที่ญี่ปุ่นยึดครองสิงคโปร์

ผมมองว่านี่เป็นนโยบายที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ และ สร้างอนาคต โดยไม่ยึดติดกับอดีตมากจนเกินไป (แน่นอนว่า การที่ประเทศญี่ปุ่นกล่าวขอโทษอย่างจริงใจก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดนโยบายดังกล่าว) ผมมองว่าการควบคุมความรู้สึกของตน และ มีแนวคิดมุ่งไปสู่อนาคตนั้น คือทัศนคติอย่างหนึ่งที่ผู้นำพึงมี

แน่นอนว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศเป็นปัญหาที่ยากต่อการรับมือ แต่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมนั้นเกิดขึ้นโดยมีที่มาจากระดับเชาวน์ปัญญา และ การศึกษาของพวกเราทุกคนด้วย ไม่เพียงแค่ผู้นำเพียงอย่างเดียว พวกเราแต่ละคนจึงควรใส่ใจว่าตนมีทัศนคติอย่างไรเมื่อต้องรับมือกับความขัดแย้งต่าง ๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างบุคคลใกล้ตัว หรือ ความขัดแย้งภายในองค์กร เป็นต้น


ยิ่งในยุค “Post-Truth” ก็ยิ่งต้อง “พิจารณาด้วยตนเอง”
ปรากฏการณ์ “Post-Truth” หรือ สถานการณ์ที่ความจริงมีอิทธิพลต่อการโน้มน้าวความคิดเห็นสาธารณะน้อยกว่าอารมณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์นี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งดังกล่าว

โลกในยุคปัจจุบันนี้ เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวปลอม จนเราไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ มีการสร้างข่าวที่ฟังดูเหมือนจริง ตัดต่อรูปภาพ แล้วก็ปล่อยข่าวนั้นทางอินเตอร์เน็ต จากนั้นข้อมูลปลอมก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ข้อมูลปลอมเหล่านี้ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด และ เกิดอคติ เป็นสิ่งที่จุดชนวนความขัดแย้ง ปรากฏการณ์ดังกล่าวน่าจะยิ่งลุกลามรวดเร็วยิ่งขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 2020 นี้

ที่จริง ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคนี้ แต่มีมาแต่ในอดีตกาล ยูวัล โนอาห์ แฮรารี ผู้เขียนหนังสือ “เซเปียนส์: ประวัติย่อมนุษยชาติ” กล่าวว่า “โฮโม เซเปียนส์เป็น post-truth species ซึ่งสามารถแต่งเรื่องราว แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อการรวบรวมผู้คนในชุมชนเข้าด้วยกัน (ย่อความ)”

กล่าวคือ เรื่องแต่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการรวบรวมมนุษย์ให้อยู่รวมกลุ่มกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา และ ประเทศชาติ เรียกได้ว่าเป็น Fiction หรือ เรื่องแต่งชิ้นมหึมาก็ว่าได้ แม้ในยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ข้อมูลที่รัฐบาล และ หนังสือพิมพ์รายงานนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงเสมอไป

แต่ในยุคนี้ นอกจากสื่อมวลชล (Mass media) แล้ว บุคคลทั่วไปก็สามารถกระจายข่าวสารได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น โลกเราจึงมีข้อมูลปลอมมากยิ่งขึ้น และ การตัดสินความเท็จจริงของข้อมูลก็ยากขึ้น

ในยุคสมัยเช่นนี้ ผมคิดว่าพวกเราแต่ละคนควรจะ “พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง” โดยไม่ไขว้เขวไปตามข้อมูลที่ฟังมาจากผู้อื่น

กล่าวคือ การไม่เชื่อในความเห็นบางอย่างที่ได้ฟังมาในทันที แต่มองหาความเห็นในเชิงตรงข้ามแล้วนำมาเปรียบเทียบกัน รวมทั้งการรวบรวมข้อเท็จจริงที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ข้อเท็จจริงซึ่งสนับสนุนความเห็นแต่ละด้าน และ ข้อมูลจากแหล่งกำเนิดโดยตรงให้ได้มากที่สุด แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

หากมองในแง่ดี มันคือการพยายามวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ และ ทัศนคติเช่นนี้น่าจะยิ่งทวีความสำคัญยิ่งกว่าในยุคที่ผ่านมา หากบุคคลหนึ่งต้องการได้รับการยกย่องจากสังคมว่าเป็นผู้นำที่น่าเชื่อถือ ความเห็นของเขาก็ไม่ควรมาจากข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หรือ ข้อมูลที่ผู้อื่นพูดเพียงอย่างเดียว ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำครับ

จดหมายข่าวฉบับแรกของปีนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทัศนคติที่พวกเราควรมี โดยมีความเชื่อมโยงกับข่าวดังที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การที่พวกเราแต่ละคนมี “ความรัก” ให้แก่คนรอบข้าง หรือ คนในองค์กร แล้วเข้าหาพวกเขาโดย “ใส่ใจในอนาคต” รวมทั้ง “พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง” อย่างสม่ำเสมอนั้น น่าจะก่อให้เกิดองค์กร และ สังคมที่ดีนะครับ

สุดท้ายนี้ ผมขอแจ้งเพิ่มเติมว่า ในปีค.ศ. 2020 บริษัท Asian Identity ของเราได้ให้คำนิยามปรัชญาขององค์กรเราใหม่โดยจะใช้ข้อความว่า “Harmonize Asian Uniqueness”

จากนี้ไป พวกเราก็จะสร้างองค์กรที่มีความกลมกลืน และ มีการเชื่อมโยงความหลากหลายของภูมิภาคเอเชียเข้าด้วยกัน พวกเราตั้งใจว่าจะให้ความสำคัญกับการสร้างทีมซึ่งมีลักษณะดังกล่าว (Show by own example) เพื่อจะได้สามารถให้บริการสิ่งเดียวกันนี้แก่ลูกค้าทุกท่าน

สำหรับปีค.ศ. 2020 นี้ พวกเราทุกคนก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ

—–

 

* ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ! คลิกที่นี่

* ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่น อ่านที่นี่

* ข้อเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรรูปแบบ In-house คลิกที่นี่

ในปีค.ศ. 2020 นี้ บริษัท Asian Identity ก็จะจัดคอร์สอบรมอย่างหลากหลายโดยยึดคำว่า Asian Identity College เป็นประเด็นหลัก เรามีคอร์สยอดนิยมจำนวนมาก เช่น “HR College” สำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานด้าน HR และ “Identity Leadership Workshop” ซึ่งเป็นคอร์สสำหรับผู้เป็นหัวหน้างาน หากท่านสนใจ กรุณาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยนะครับ

 

Credit: Photo by Jordan rowland from Unsplash
Photo by Arisa Chattasa from Unsplash
Photo by Bart LaRue from Unsplash
Photo by bruce mars from Unsplash

Katsuhiro Nakamura (Jack)

Katsuhiro Nakamura (Jack)
CEO & Founder, Asian Identity Co., Ltd.

Profile

ดำเนินกิจการบริษัท Asian Identity องค์กรให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งมีความชำนาญงานในภูมิภาคเอเชีย และ มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้น ดำรงตำแหน่งปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์ทำงานที่บริษัท Nestlé บริษัท Link and Motivation และ บริษัท GLOBIS ปัจจุบันรับผิดชอบงานด้านการให้คำปรึกษา และ จัดอบรมในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยมีสำนักงานในประเทศไทย ระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพ ยังได้เขียน และ จำหน่ายหนังสือ “สู้สู้ PIM! (Su Su Pim!)” การ์ตูนให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจสำหรับชาวไทยด้วย

 

– Certified Facilitator of LEGO® SERIOUS PLAY®
– Completed ORSC™ – Organization and Relationship System Coaching Practical Application Course
– Certified Facilitator of Hofstede Insight Organizational Culture (วัฒนธรรมองค์กร)
– CoachingOurselves Facilitator