Newsletter
จดหมายข่าวฉบับที่ 32 นี้ เป็นฉบับแรกของปีค. ศ. 2020 ผมจึงจะขอเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงปีใหม่นี้นะครับ

ปีค.ศ. 2020 ซึ่งความขัดแย้งภายในโลกปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น
ข่าวใหญ่ในช่วงต้นปีค.ศ. 2020 ที่ทำให้ชาวโลกตื่นตระหนกกันถ้วนหน้าก็คือข่าวการลอบสังหารผู้บัญชาการหน่วยทหารของประเทศอิหร่านโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา ผมเขียนบทความนี้ขึ้นในวันที่ 6 มกราคม ขณะนี้ยังไม่เกิดเหตุรุนแรงใดตามมา แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลในเชิงลบต่อความสงบสุขของโลกในปีค.ศ. 2020 อย่างแน่นอน
การที่อเมริกาสังหารนายพล สุเลมานี (Soleimani) ซึ่งเป็นดั่งฮีโร่ของชาวอิหร่านนั้น ส่งผลให้อิหร่านโกรธเคืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และ ประกาศว่าจะล้างแค้น ส่วนประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ก็แถลงว่า หากอิหร่านเอาคืน อเมริกาก็จะโจมตีสถานที่เป้าหมายจำนวน 52 แห่ง
“สถานที่เป้าหมาย 52 แห่ง” นี้ เป็นการแทนจำนวนคน “52 คน” ที่ถูกจับเป็นตัวประกันเมื่อครั้งที่อิหร่านเข้ายึดสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงเตหะรานในสมัยประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ แผนการข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความคับแค้นใจที่ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์มีต่อประเทศอิหร่าน
อเมริกา และ อิหร่านเป็นประเทศที่เกลียดชังซึ่งกันและกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี ความเกลียดชังนั้นนำมาซึ่งความเกลียดชังในระดับที่สูงขึ้น หลายปีมานี้ สถานการณ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
ตามที่ผมได้กล่าวข้างต้น ในช่วงหลายปีมานี้ ความขัดแย้งระหว่างประเทศก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนในโลกของเรา เช่นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และ เอเชียตะวันออก เป็นต้น ทั้งนี้ พวกเราควรจะพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนี้อย่างไรดีครับ

พูดคุยด้วย “ความรัก” และ “ความใส่ใจในอนาคต”
ผมว่าเราควรจะย้อนกลับไประลึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าเคยสอนไว้ว่า “ความเกลียดชังไม่เคยสิ้นสุดลงโดยความเกลียดชัง มันสิ้นสุดลงด้วยความรักเพียงอย่างเดียว”
หากเราเกลียดชังอีกฝ่ายที่เกลียดชังเรา ก็จะไม่มีอะไรดีขึ้นมา เวลาที่ถูกใครก็ตามเกลียดชัง เราได้เคารพความเห็นของอีกฝ่าย รับฟัง และ พยายามพูดคุยอย่างไม่ลดละแล้วหรือยัง ผมคิดว่านี่คือประเด็นที่สำคัญกว่า การรู้สึกโกรธ หรือ ใช้ความรุนแรงนั้นมีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์กลับไปสู่จุดที่เลวร้ายเหมือนเดิม
ในอดีต นายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้กำหนดนโยบาย “Forgive, but never forget.” (ให้อภัย แต่จะไม่มีวันลืม) สำหรับใช้บริหารจัดการหลังการสังหารหมู่ “Sook Ching” ซึ่งญี่ปุ่นกระทำในสมัยที่ญี่ปุ่นยึดครองสิงคโปร์
ผมมองว่านี่เป็นนโยบายที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ และ สร้างอนาคต โดยไม่ยึดติดกับอดีตมากจนเกินไป (แน่นอนว่า การที่ประเทศญี่ปุ่นกล่าวขอโทษอย่างจริงใจก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดนโยบายดังกล่าว) ผมมองว่าการควบคุมความรู้สึกของตน และ มีแนวคิดมุ่งไปสู่อนาคตนั้น คือทัศนคติอย่างหนึ่งที่ผู้นำพึงมี
แน่นอนว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศเป็นปัญหาที่ยากต่อการรับมือ แต่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมนั้นเกิดขึ้นโดยมีที่มาจากระดับเชาวน์ปัญญา และ การศึกษาของพวกเราทุกคนด้วย ไม่เพียงแค่ผู้นำเพียงอย่างเดียว พวกเราแต่ละคนจึงควรใส่ใจว่าตนมีทัศนคติอย่างไรเมื่อต้องรับมือกับความขัดแย้งต่าง ๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างบุคคลใกล้ตัว หรือ ความขัดแย้งภายในองค์กร เป็นต้น

ยิ่งในยุค “Post-Truth” ก็ยิ่งต้อง “พิจารณาด้วยตนเอง”
ปรากฏการณ์ “Post-Truth” หรือ สถานการณ์ที่ความจริงมีอิทธิพลต่อการโน้มน้าวความคิดเห็นสาธารณะน้อยกว่าอารมณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์นี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งดังกล่าว
โลกในยุคปัจจุบันนี้ เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวปลอม จนเราไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ มีการสร้างข่าวที่ฟังดูเหมือนจริง ตัดต่อรูปภาพ แล้วก็ปล่อยข่าวนั้นทางอินเตอร์เน็ต จากนั้นข้อมูลปลอมก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ข้อมูลปลอมเหล่านี้ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด และ เกิดอคติ เป็นสิ่งที่จุดชนวนความขัดแย้ง ปรากฏการณ์ดังกล่าวน่าจะยิ่งลุกลามรวดเร็วยิ่งขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 2020 นี้
ที่จริง ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคนี้ แต่มีมาแต่ในอดีตกาล ยูวัล โนอาห์ แฮรารี ผู้เขียนหนังสือ “เซเปียนส์: ประวัติย่อมนุษยชาติ” กล่าวว่า “โฮโม เซเปียนส์เป็น post-truth species ซึ่งสามารถแต่งเรื่องราว แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อการรวบรวมผู้คนในชุมชนเข้าด้วยกัน (ย่อความ)”
กล่าวคือ เรื่องแต่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการรวบรวมมนุษย์ให้อยู่รวมกลุ่มกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา และ ประเทศชาติ เรียกได้ว่าเป็น Fiction หรือ เรื่องแต่งชิ้นมหึมาก็ว่าได้ แม้ในยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ข้อมูลที่รัฐบาล และ หนังสือพิมพ์รายงานนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงเสมอไป
แต่ในยุคนี้ นอกจากสื่อมวลชล (Mass media) แล้ว บุคคลทั่วไปก็สามารถกระจายข่าวสารได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น โลกเราจึงมีข้อมูลปลอมมากยิ่งขึ้น และ การตัดสินความเท็จจริงของข้อมูลก็ยากขึ้น
ในยุคสมัยเช่นนี้ ผมคิดว่าพวกเราแต่ละคนควรจะ “พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง” โดยไม่ไขว้เขวไปตามข้อมูลที่ฟังมาจากผู้อื่น
กล่าวคือ การไม่เชื่อในความเห็นบางอย่างที่ได้ฟังมาในทันที แต่มองหาความเห็นในเชิงตรงข้ามแล้วนำมาเปรียบเทียบกัน รวมทั้งการรวบรวมข้อเท็จจริงที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ข้อเท็จจริงซึ่งสนับสนุนความเห็นแต่ละด้าน และ ข้อมูลจากแหล่งกำเนิดโดยตรงให้ได้มากที่สุด แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
หากมองในแง่ดี มันคือการพยายามวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ และ ทัศนคติเช่นนี้น่าจะยิ่งทวีความสำคัญยิ่งกว่าในยุคที่ผ่านมา หากบุคคลหนึ่งต้องการได้รับการยกย่องจากสังคมว่าเป็นผู้นำที่น่าเชื่อถือ ความเห็นของเขาก็ไม่ควรมาจากข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หรือ ข้อมูลที่ผู้อื่นพูดเพียงอย่างเดียว ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำครับ
จดหมายข่าวฉบับแรกของปีนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทัศนคติที่พวกเราควรมี โดยมีความเชื่อมโยงกับข่าวดังที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การที่พวกเราแต่ละคนมี “ความรัก” ให้แก่คนรอบข้าง หรือ คนในองค์กร แล้วเข้าหาพวกเขาโดย “ใส่ใจในอนาคต” รวมทั้ง “พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง” อย่างสม่ำเสมอนั้น น่าจะก่อให้เกิดองค์กร และ สังคมที่ดีนะครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอแจ้งเพิ่มเติมว่า ในปีค.ศ. 2020 บริษัท Asian Identity ของเราได้ให้คำนิยามปรัชญาขององค์กรเราใหม่โดยจะใช้ข้อความว่า “Harmonize Asian Uniqueness”
จากนี้ไป พวกเราก็จะสร้างองค์กรที่มีความกลมกลืน และ มีการเชื่อมโยงความหลากหลายของภูมิภาคเอเชียเข้าด้วยกัน พวกเราตั้งใจว่าจะให้ความสำคัญกับการสร้างทีมซึ่งมีลักษณะดังกล่าว (Show by own example) เพื่อจะได้สามารถให้บริการสิ่งเดียวกันนี้แก่ลูกค้าทุกท่าน
สำหรับปีค.ศ. 2020 นี้ พวกเราทุกคนก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
—–
* ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ! คลิกที่นี่
* ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่น อ่านที่นี่
* ข้อเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรรูปแบบ In-house คลิกที่นี่
ในปีค.ศ. 2020 นี้ บริษัท Asian Identity ก็จะจัดคอร์สอบรมอย่างหลากหลายโดยยึดคำว่า Asian Identity College เป็นประเด็นหลัก เรามีคอร์สยอดนิยมจำนวนมาก เช่น “HR College” สำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานด้าน HR และ “Identity Leadership Workshop” ซึ่งเป็นคอร์สสำหรับผู้เป็นหัวหน้างาน หากท่านสนใจ กรุณาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยนะครับ
Credit: Photo by Jordan rowland from Unsplash
Photo by Arisa Chattasa from Unsplash
Photo by Bart LaRue from Unsplash
Photo by bruce mars from Unsplash

Katsuhiro Nakamura (Jack)
CEO & Founder, Asian Identity Co., Ltd.
ดำเนินกิจการบริษัท Asian Identity องค์กรให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งมีความชำนาญงานในภูมิภาคเอเชีย และ มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้น ดำรงตำแหน่งปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์ทำงานที่บริษัท Nestlé บริษัท Link and Motivation และ บริษัท GLOBIS ปัจจุบันรับผิดชอบงานด้านการให้คำปรึกษา และ จัดอบรมในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยมีสำนักงานในประเทศไทย ระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพ ยังได้เขียน และ จำหน่ายหนังสือ “สู้สู้ PIM! (Su Su Pim!)” การ์ตูนให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจสำหรับชาวไทยด้วย
– Certified Facilitator of LEGO® SERIOUS PLAY®
– Completed ORSC™ – Organization and Relationship System Coaching Practical Application Course
– Certified Facilitator of Hofstede Insight Organizational Culture (วัฒนธรรมองค์กร)
– CoachingOurselves Facilitator
08 ต.ค., 2024
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.60 รับมืออย่างไรกับการก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ
24 ม.ค., 2018
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.10 อะไร คือ Leadership ที่แท้จริง
24 พ.ค., 2018
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.14 “พัฒนาบุคลากรเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโต”