HOME > Articles > อยากเลิกคิดมาก ต้องทำอย่างไร
HR Blog

อยากเลิกคิดมาก ต้องทำอย่างไร

08 มี.ค..2020

มีใครเป็นบ้างมั้ยคะ เวลาทำอะไรผิดหรือทำได้ไม่ดีเท่าที่หวังไว้ก็จะคิดมาก วิตกกังวล และคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมา การคิดแบบนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้แก้ปัญหาได้แล้ว ยังทำให้เกิดผลเสียกับตัวเรา เช่น ความเครียดที่เพิ่มขึ้นและสมาธิที่ลดลง

ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะผู้เขียนเองก็เป็นคนชอบคิดมาก จึงอยากมาแชร์ความรู้รวมถึงเทคนิคของผู้เขียนว่าจะต้องทำยังไงจึงจะหยุดคิดมากได้ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครหลาย ๆ คนที่กำลังที่ประสบปัญหานี้อยู่เหมือนกันค่ะ

หนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เราคิดมากเวลาทำอะไรผิด โดยเฉพาะในชีวิตการทำงานที่เราจะต้องติดต่อและประสานงานกับคนมากมาย ไม่ว่าจะกับลูกค้าหรือคนในบริษัท คือความกลัวการถูกตัดสินจากคนรอบข้างและความกลัวว่าความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้างนั้นจะแย่ลง

สำหรับคนที่กำลังคิดมากจากสาเหตุข้างต้น วันนี้ผู้เขียนมีเทคนิค 3 ข้อที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ค่ะ

1)  ทำความรู้จักกับ Spotlight Effect
เมื่อเกิดอาการคิดมากจากการทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าคนอื่น ความคิดที่มักเกิดขึ้นในหัวของเราคือ ‘ไม่น่าเลย แล้วคนอื่นจะคิดยังไงกับเราเนี่ย’ หรือ ‘จบกัน เค้าต้องคิดว่าเราเป็นคนไม่น่าเชื่อถือแน่ ๆ’ แต่ถ้าทุกท่านได้รู้จักกับ Spotlight Effect แล้ว ความคิดเหล่านี้ก็จะหายไป

Spotlight Effect คือทฤษฎีทางจิตวิทยาที่อธิบายถึงความเอนเอียงทางประชานของคน (cognitive bias) ที่มักจะเข้าใจว่าทุกคนให้ความสนใจกับตัวเราในระดับที่มากเกินความจริง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราทำ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และความเชื่อที่ว่าคนอื่นจะเห็นเราในแบบเดียวกันกับที่เราเห็นตัวเอง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว งานวิจัยได้แสดงให้เห็นแล้วว่าคนอื่นไม่ได้สนใจหรือจำในสิ่งที่เราทำได้ขนาดนั้น และไม่ได้รู้ว่าเราคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่ เพราะพวกเขาเองก็กำลังให้ความสนใจกับชีวิต หรือ spotlight ของตัวเองอยู่เหมือนกัน เพียงแค่เราตระหนักถึงความจริงตรงนี้ว่าคนอื่นก็ไม่ได้นึกถึงเราบ่อยขนาดนั้น เราก็จะสามารถลดความกังวลและความคิดมากลงไปได้

2) มองตัวเองจากมุมมองที่แตกต่าง

อารมณ์เชิงลบ เช่น ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการคิดหมกมุ่นถึงสถานการณ์ที่แย่ ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าความผิดพลาดของเรามีความร้ายแรงเกินจริง การมองตัวเองจากมุมมองอื่นเป็นเทคนิคที่จะช่วยเราในการจัดการอารมณ์ได้ ซึ่ง‘มุมมองอื่น’ ในที่นี้ อาจเป็นได้ทั้งมุมมองของบุคคลที่สามหรือมุมมองของเราเองที่มองจากอนาคตกลับมา

การมองจากมุมมองของบุคคลที่สามจะช่วยสร้างระยะทางทางจิตใจระหว่างตัวเรากับอารมณ์ของเรา และช่วยให้ความคิดของเราไม่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ นอกจากนั้น ยังทำให้เราเห็นภาพของเหตุการณ์ได้รอบด้านมากขึ้น และส่งผลให้การตัดสินใจของเราเป็นกลางและมีเหตุมีผลมากขึ้นตามมาด้วย

ซึ่งตัวผู้เขียนเองจะชอบจินตนาการว่าชีวิตหรือเหตุการณ์ร้าย ๆ เป็นหนังที่เล่นอยู่ในโรงหนัง โดยตัวเองเป็นเพียงแค่ผู้ชมที่กำลังดูหนังชีวิตนั้นอยู่

ส่วนการมองจากมุมมองของเราในอนาคตนั้นก็เป็นการสร้างระยะทางเช่นกัน แต่เป็นระยะทางเชิงเวลา ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้เรารู้สึกว่าผลร้ายของความผิดพลาดนั้นเล็กน้อยและเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย เหมือนเราในตอนนี้ที่รู้สึกเฉย ๆ หรือไม่ได้รู้สึกแย่มากนักเวลานึกถึงความผิดพลาดในอดีต

3) โฟกัสในสิ่งที่ควบคุมได้

เมื่อเราทำผิดหรือทำอะไรได้ไม่ดีพอ เราก็ควรหาทางแก้ไข หรือหาวิธีพัฒนาตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีก แต่เนื่องด้วยอารมณ์ที่อาจจะยังไม่ถูกจัดการ เราจะชอบคิดฟุ้งซ่านถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น เช่น คิดถึงสถานการณ์ในอุดมคติที่มีโอกาสเป็นไปได้ยาก คิดโทษตัวเองว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำให้ดีกว่านี้ หรือแม้กระทั่งคิดโทษการกระทำของคนอื่นที่เราคิดว่ามีส่วนทำให้เหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้น

ซึ่งเรามักจะลืมไปว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่เหนือความควบคุมของเรา และการคิดแบบนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ยังทำให้เราคิดมากขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้น เราควรมาโฟกัสในสิ่งที่เราควบคุมได้อย่างพฤติกรรมของตัวเองหรือสิ่งที่เราคิดว่าควรปรับปรุงในครั้งต่อไป เช่น เวลาเราส่งงานช้าจนทำให้ลูกค้าไม่พอใจ แทนที่จะมานั่งรู้สึกผิดหรือโทษหัวหน้าที่ให้งานเยอะจนทำไม่ทัน เราควรมาดูว่ามีวิธีอะไรที่จะช่วยให้เราบริหารเวลาได้ดีกว่านี้ถึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง

หวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ใครหลาย ๆ คนหยุดคิดมากได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ในการควบคุมให้ความคิดมากนั้นอยู่ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองนะคะ

——————-

> Subscribe เพื่อติดตามข่าวสารน่าสนใจ และบทความแนะนำที่คนทำงานไม่ควรพลาด:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/subscribe

> ติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือคุยกับที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/contact

 

Credit: Photo by Olga from Pexels

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]