HOME > Articles > GEN Z Tips : การสื่อสารกับคนต่างวัยในที่ทำงาน
HR Blog

GEN Z Tips : การสื่อสารกับคนต่างวัยในที่ทำงาน

05 ก.ย..2025

“ทำไมพี่เขาไม่ยอมฟังเราเลย”
 
“เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ทำไมพี่เขาไม่เข้าใจนะ”
 
“พี่เขาพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
 
เมื่อเข้าสู่วัยทำงานแล้วชาว GEN Z หลาย ๆ คนก็คงจะเคยมีความคิดเหล่านี้อยู่บ้าง แน่นอนว่า GEN Z รุ่นใหม่ไฟแรงอย่างพวกเราเองก็คงคาดหวังว่าการสื่อสารในที่ทำงานก็ต้องรวดเร็ว เป็นกันเอง และตรงไปตรงมา แต่ทำไมในบางครั้งการสื่อสารที่เราต้องการให้เกิดประสิทธิภาพกลับทำให้เกิดผลลัพธ์ตรงกันข้าม แถมยังมีโอกาสทำให้เราถูกเข้าใจผิดมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก ?

วันนี้ผม ธนภูมิ ชโลปกรณ์ (นน) ที่ปรึกษาจากบริษัท Asian Identity จะมาแชร์ Tips เล็ก ๆ ในการสื่อสารกับพี่ผู้ใหญ่ในที่ทำงานให้ลองเลือกใช้กันครับ
 
 

1.ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ – รู้จักกันก่อนพูดคุย
หลายครั้งเวลาคุยกับพี่ ๆ ในที่ทำงานเราอาจจะเคยสงสัยว่า
 
“ทำไมพี่เขาถึงพูดแบบนี้นะ”
 
“พูดกันตรง ๆ ค่อย ๆ อธิบายไม่ได้หรอ”
 
Tips แรกที่อยากจะแนะนำคือ ลองพยายามเข้าใจตัวตนของคู่สนทนาดูก่อนแล้วเราจะเข้าใจสารของเขามากขึ้น
เคยไหมครับเวลาคุยกับเพื่อนใหม่แล้วรู้สึกว่าเขามีวิธีคิด พูด หรือมีรสนิยมต่างจากเรา บางครั้งเราก็พอเข้าใจในบางส่วนแต่ไม่เข้าใจทั้งหมด ถ้าเราอยากสนิทกับเขามากขึ้น เราก็จะพยายามทำความเข้าใจ และลองคิดในมุมมองของเขา ตีความสิ่งที่เขาพูดให้ได้ นี่คือ “การสื่อสารแบบเห็นอกเห็นใจ” หรือ Empathic Communication ซึ่งไม่เพียงใช้ได้ในชีวิตส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังสำคัญอย่างมากในที่ทำงานด้วยเช่นกัน
 
โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคนต่างวัยต่างมุมมอง หากเจนซีไฟแรงอยากเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างแล้วเข้าไปพูดตรง ๆ ตั้งแต่วันแรกโดยไม่ศึกษาคู่สนทนาก่อนอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีสักเท่าไร แม้ว่าเราจะหวังดีหรือจะมีไอเดียที่สุดยอดแค่ไหนก็ตาม เพราะเมื่อเรายังไม่รู้จักนิสัยกันดีพอ การเปิดใจฟังสิ่งใหม่ ๆ อาจเป็นเรื่องยากในหลาย ๆ บริบท และนอกจากการสื่อสารไม่เป็นผลแล้วยังอาจจะทำให้เราถูกมองอย่างมีอคติว่าเราดูเป็นคนก้าวร้าวด้วย
 
อย่างแรกเลยเราจึงควรจะเริ่มจากการทำความรู้จักตัวตนของพี่ ๆ ที่เราต้องทำงานด้วยให้ดีก่อนครับ ที่ Asian Identity เองสิ่งที่อยู่ใน On-boarding Check-list ของพนักงานใหม่ทุกคนคือ การนัดคุยตัวต่อตัวกับสมาชิกในทีมทุกคนเพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นก่อนที่จะเริ่มทำงานกันจริง ๆ เพื่อที่จะสามารถเลือกวิธีการสื่อสารกันได้อย่างถูกคอมากขึ้น ดังนั้น การเริ่มต้นจากความเข้าใจ คือ ก้าวแรกของการสื่อสารที่มีคุณภาพ และเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในการทำงานร่วมกันครับ
 
 

2. อยากให้เธอรู้ว่าฉันคิดยังไง – สื่อสารอย่างมีเหตุผล
ทั้ง ๆ ที่เราก็พยายามเองเต็มที่แล้ว แต่จะถามจะขออะไรไปก็โดนดุกลับมาตลอดเลย
 
“ปากบอกว่ามีอะไรก็ให้ถาม แต่ทำไมพอถามแล้วโดนดุทุกทีเลยนะ”
 
สำหรับคนที่พบเจอปัญหานี้ Tips ต่อไปที่อยากจะแนะนำคือ เวลาจะถามอะไรซักอย่าง ลองแสดงให้เขาเห็นว่าเราพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองมาก่อนแล้ว และก่อนที่จะมาถามเรามี process การคิดยังไงบ้าง
 
เมื่ออยู่ในสังคมวัยทำงานเราอาจจะโดนคาดหวังให้สามารถคิดและทำเองได้ และบางคนอาจหงุดหงิดเวลาโดนถามเรื่องที่เขาคิดว่าเป็นแค่เรื่องง่าย ๆ แต่แน่นอนว่าสำหรับพนักงานใหม่ การถามในสิ่งที่ไม่รู้เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว เพราะหากไม่ถามแล้วทำผิด อาจเกิดปัญหาใหญ่กว่า และสุดท้ายก็อาจโดนถามกลับว่า “แล้วทำไมไม่ถามตั้งแต่แรก?” แทน
 
สาเหตุของปัญหานี้มาจากการที่เจนซีอย่างเรามักจะมีแนวโน้มที่ชอบความรวดเร็วในการสื่อสาร อยากได้คำตอบเร็ว ๆ มากกว่าการค่อย ๆ อธิบายบริบท กระบวนการ หรือที่มา แต่ในทางกลับกัน พี่ ๆ เจนอื่น ๆ อาจจะตรงกันข้าม หมายความว่าพวกเขาจะรู้สึกดีกว่าถ้าเราอธิบายขั้นตอนหรือสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำและคิดมาแล้วให้พวกเขาฟังก่อน แม้ว่าเราต้องการที่จะสื่อสารให้กระชับและต้องการคำตอบที่รวดเร็วที่สุด แต่ก็อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีตามมาได้ ยกตัวอย่างเรื่องทั่วไปง่าย ๆ เช่น
 
“พี่ ผมขอไฟล์ presentation เวอร์ชันล่าสุดหน่อยครับ”
แม้ว่าพี่เขาจะหาไฟล์มาให้แต่พี่ (ซึ่งอาจเป็น Gen X หรือ Gen Y) อาจจะบ่นออกมาให้เรารู้สึกไม่ดีหรือแอบคิดในใจว่า
“เอ๊ะ อยู่ดี ๆ มาขอไฟล์เลย ไม่อธิบายก่อนว่าเอาไปทำอะไร ใช้เมื่อไหร่ ลองหาเองแล้วหรือยัง?”
และผมเชื่อว่าพี่ ๆ จะรู้สึกสบายใจและรู้สึกอยากให้ความช่วยเหลือเราได้มากกว่าถ้าเราเพิ่มการอธิบาย “กระบวนการคิด” หรือ “บริบท” ของเราลงไปสักนิด เช่น
“พี่ครับ ผมต้องไป present กับลูกค้าพรุ่งนี้ แล้วอยากอัปเดตจากไฟล์เวอร์ชันล่าสุดของทีมครับ ผมลองหาในไดรฟ์แล้วยังหาไม่เจอ ไม่แน่ใจว่าพี่มีไฟล์เวอร์ชันล่าสุดไหมครับ รบกวนขอหน่อยได้ไหมครับ?”
เพียงแค่เพิ่มการอธิบายเล็กน้อย ก็ช่วยทำให้เราสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
 
 

3.แต่ไม่รู้จะขอบคุณ ไม่รู้ทําอย่างไร – รับมือยังไงกับฟีดแบค
ในหลาย ๆ ครั้งเมื่อได้รับฟีดแบคจากพี่ในทีม เราก็มักจะบ่นกับตัวเอง (เพราะพูดออกไปไม่ได้) ว่า
 
“ไอนู่นก็ไม่ดี ไอนี่ก็ไม่ได้ จะเอายังไงแน่” “บ่นมากก็เอาไปทำเองเลยสิ”
 
คำว่า ฟีดแบค (Feedback) เมื่อแปลเป็นไทยจะแปลได้ว่า “คำติชม” เห็นไหมครับ แค่ตัวภาษาคำว่า “ติ” ก็มาก่อนคำว่า “ชม” และ ในสังคมไทยเราอาจจะมีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับการโดนฟีดแบค และโฟกัสกับการโดนติมากกว่าการได้รับคำชมเชย การฟีดแบคเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสังคมการทำงาน ดังนั้น Tips สุดท้ายในวันนี้ก็คือ เราต้องเสริม mindset ให้พร้อมสำหรับการรับฟีดแบคนั่นเองครับ
 
Feedback is a gift เป็นคำที่เราคงจะเคยได้ยินกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ผมก็เป็นแนวคิดที่ผมเชื่อว่ายังสามารถใช้ได้จริงอยู่ ลองจินตนาการณ์เมื่อเราได้รับของขวัญเราก็มักจะดีใจเสมอ แม้ว่าในหลาย ๆ ครั้งของขวัญเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เราในฐานะผู้รับควรทำเสมอคือการขอบคุณผู้ให้แล้วก็รับไว้ด้วยความเต็มใจ
 
ฟีดแบคอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ผู้มอบมองเห็นเรา ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตามมันก็เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนตัวเราในอีกมุมหนึ่ง ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดถ้าเราพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โดยมองข้ามวิธีการพูดของผู้ให้แต่โฟกัสที่เนื้อหาของมัน แล้วพบว่ามันเป็น negative feedback เราก็สามารถรับมันไว้แล้วไม่ต้องไม่ใส่ใจมันมาก เหมือนกับการได้ของขวัญที่เราอาจจะไม่ชอบแต่เราก็รับมันมา เพียงแค่เราไม่ได้ใช้มันเท่านั้นเอง การเปลี่ยนความคิดของตัวเองจาก “โดนฟีดแบค” เป็นคำว่า “รับฟีดแบค” แทน นอกจากเราจะดูอยู่เป็นแล้วผมเชื่อว่าจะทำให้ทักษะในการทำงานของเราพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอนครับ
 
 

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะขอสรุปว่า การสื่อสารในที่ทำงานไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการใช้คำพูดเท่านั้น แต่การทำความเข้าใจในตัวตนและบริบทของพี่ผู้ใหญ่ที่เราทำงานด้วยก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับชาว Gen Z อย่างเราด้วยเช่นกัน เมื่อเราสื่อสารโดยเข้าใจสไตล์การสื่อสารของแต่ละบุคคล แสดงให้เห็นถึงความพยายามและกระบวนการคิดของตัวเอง รวมถึงเปิดใจรับฟีดแบคในฐานะ “ของขวัญ” เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ลดความเข้าใจผิดในการสื่อสาร และเติบโตอย่างยั่งยืนครับ
 
ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องยาก และใช่ครับมันเป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ แต่เชื่อเถอะครับเริ่มจากวันนี้ที่เราลองพยายามเราจะค่อย ๆ เก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน ฝึกพยายามเข้าใจคนอื่นบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่ในฐานะของเพื่อนร่วมงาน แต่ในฐานะของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เชื่อว่าการสื่อสารในที่ทำงานจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และไม่ได้ไปจบแค่คำบ่นที่ว่า “พี่เขาเข้าใจอะไรยากจัง” หรือ “เด็กสมัยนี้ไม่อดทนเลย” แน่นอนครับ