HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.1 คนไทยและญี่ปุ่น ยิ่งใกล้ ยิ่งไกล – FEBRUARY , 2017
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.1 คนไทยและญี่ปุ่น ยิ่งใกล้ ยิ่งไกล – FEBRUARY , 2017

18 ก.ค..2019

คนไทยและญี่ปุ่น ยิ่งใกล้ ยิ่งไกล

คนไทยและคนญี่ปุ่น เส้นขนานที่ไม่เคยตัดกัน
ผมเองทํางานเป็นที่ปรึกษาด้านการสร้างบุคลากรและการแก้ปัญหาเรื่องการสื่อสารภายในองค์กรให้กับบริษัทเอกชนต่างๆในประเทศไทย โดยมี ‘คน’ เป็นหัวข้อสําคัญในการทํางาน เลยมักทําให้พบกับคําปรึกษาต่างๆที่บางทีอาจจะคาดไม่ถึงจากลูกค้า เช่น ผู้จัดการคนญี่ปุ่นท่ีมา ปรึกษาผมว่า ‘หลังจากที่ผมตักเตือนพนักงานคนไทยที่ผมจับได้ว่าโกหกว่าออกไปทํางานข้างนอก แต่จริงๆแล้วแอบหนีไปเที่ยวต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆ ไม่กี่วันถัดมาผมก็โดนพนักงานคนไทยยืนรุมล้อมข่มขู่ในห้องประชุม ผมควรจะทําอย่างไรดี’ หรือพนักงานคนไทยที่มา ปรึกษาว่า ‘หัวหน้าคนญี่ปุ่นผมเข้มงวดมาก ทําไมถึงเข้มงวดแบบไร้สาระขนาดนี้’ เป็นต้น

โดยส่วนตัวผมเอง ผมก็เป็นหัวหน้าที่มีพนักงานเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน และจะระมัดระวัง เรื่องคําพูดที่ใช้ในการสื่อสารเสมอ มีหลายครั้งที่กลับบ้านแล้วยังคงย้อนกลับไปคิดว่าคํา พูดบางคําของตัวเองที่พูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจได้ไปทําร้ายความรู้สึกใครบ้างหรือเปล่าจน นอนไม่หลับก็มี เพราะการที่จะพูดว่า ‘เราจะทํางานบนพื้นฐานความเข้าใจความแตกต่าง ของวัฒนธรรม’ นั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ในการทํางานจริงแล้ว โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ ถือว่าเป็นฐานการผลิตที่สําคัญมากของประเทศญี่ปุ่น ปัญหาเรื่องการสร้างความเข้าใจ และสร้างทีมหรือองค์กรที่มีทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นร่วมกันทํางานให้เป็นทีมที่ดีนั้น ยังคง เป็นปัญหาที่มีอยู่เสมอจนถึงปัจจุบัน

รู้สึก ‘ต่างกัน’ เพราะ ‘เหมือนกัน’ มากเกินไป

ในปี ค.ศ. 2014 Ms.Erin Meyer จาก INSEAD Business School ได้เขี ยนหนั งสือช่ือ ’The Culture Map’ ออกมาและเป็นที่กล่าวถึงกันมาก โดยผู้เขียนได้สัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ทั่วโลก และค้นพบว่ามีวัฒนธรรม 8 อย่างที่จะส่งผลต่อการทํางาน ซึ่งผมเองหลังจากที่ พบกับปัญหาต่าง ๆ ในการทํางานที่ประเทศไทยก็ได้ตัดสินใจที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ และการ อ่านหนังสือเล่มนี้ได้ยืนยันความรู้สึกของผมว่า ‘คนไทยและคนญี่ปุ่นมีความคล้ายคลึงกัน เป็นอย่างมาก’

หากเปรียบเทียบวัฒนธรรมกับประเทศอื่นๆทั่วโลก คนไทยและคนญี่ปุ่นจะมีค่านิยมที่ค่อน ข้างคล้ายคลึงกันมาก เช่น การสื่อสารเป็นลักษณะวัฒนธรรมแบบบริบทสูง (High Context Culture) คือการให้ ความสําคั ญกับท่าทางเวลาพูด ความรู้สึกหรือบรรยากาศใน การสื่อสารมากกว่าตัวเนื้อหาหรือสิ่งที่กําลังพูดกัน หรือการที่ไม่ชอบการพูดตรงๆเพราะ กลัวว่าจะไปทําร้ายความรู้สึกของฝั่งตรงข้าม และผู้รับสารก็สามารถที่จะเข้าใจว่าอีกฝ่าย หน่ึงต้องการที่จะสื่อสารอะไรกับตน เป็นต้น ซึ่งค่านิยมนี้ถือเป็นเรื่องปกติสําหรับคนญี่ปุ่น และคนไทย แต่สําหรับประเทศอื่น ๆ เช่น อเมริกา ฮอลแลนด์ เยอรมัน ต่างๆกลับมีค่านิยมท่ี ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

แต่ในความเหมือนกันก็มีบางส่ิงที่แตกต่างกัน เช่น วิธีการสร้างความ ‘ไว้วางใจ’ ซึ่งเวลาที่ เราเปรียบเทียบวิธีการสร้างความไว้วางใจของคนไทยและคนญ่ีปุ่นแล้วจะพบว่า คนญี่ปุ่นจะ สร้างความเชื่อใจแบบ ’Task-Based’ คือ การสร้างและสะสมความเชื่อใจจากการดู สิ่งที่ฝั่ง ตรงข้ามปฏิบัติผ่านประสบการณ์การทํางานร่วมกัน ส่วนคนไทยจะมีวิธีการสร้างความเชื่อ ใจแบบ ‘Relation-Based’ คือ การสร้างความเชื่อใจจากการกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การพูด คุยและรับประทานอาหารร่วมกัน เพื่อมองดูและตัดสินใจว่าบุคคลนี้สามารถคบหาได้หรือไม่ เป็นต้น แต่ทั้งน้ี หากมองจากประเทศอื่นๆแล้ว ทั้งประเทศไทยและญ่ีปุ่นเองก็เป็น ‘relation base’ ท้ังคู่ แต่จะมีความแตกต่างกันในรายละเอียด ซึ่งถ้าใครที่มีโอกาสทํางานกับคนญี่ปุ่น อาจจะได้เคยสัมผัสรู้สึกถึงความแตกต่างน้ี

อย่างไรก็ตาม เราอาจกล่าวในภาพรวมได้ว่าคนไทยและคนญี่ปุ่นนับว่าท้ัง 2 เช่ือชาติเป็นก ลุ่มที่มีความ ‘คล้ายคลึงกันมาก’ ซึ่งผมเองก็ได้เริ่มไตร่ตรองอีกครั้งว่า เราควรที่จะรู้สึก ดีใจและขอบคุณที่พวกเรามี ‘ความคล้ายคลึงกัน’ มากแบบนี้ เมื่อมองดูในทวีปเอเซียด้วย กันเองก็ตาม ประเทศไทยและญี่ปุ่นก็ถือเป็นสองประเทศที่นับได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกัน มากเกือบจะมากที่สุด และเพ่ือให้ความสัมพันธ์นี้ยั่งยืนไปอีกเนิ่นนาน เราท้ังสองประเทศคง ควรจะเข้าใจและเคารพ ‘ความแตกต่าง’ ของกันและกัน และช่วยกันถนอมรักษา ‘ความ เหมือนกัน’ ของท้ังสองฝ่าย

“… อย่าลืมว่าพวกเราก็เป็นคนเอเชีย เหมือนกัน”

สร้างทีมที่ดึงข้อดีจากการเป็นคนเอเซีย

ผมตัดสินที่จะทํางานในประเทศต่างๆในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อครั้งที่ผมได้ไปเริ่ม ทํางานที่ประเทศสิงค์โปร์เมื่อปี ค.ศ. 2012 มีเหตุการณ์หน่ึงท่ีเป็นจุดเร่ิมต้นความคิดน้ีคือ มีบริษัทญี่ปุ่นมาปรึกษาผมว่า ‘อยากให้ความสัมพันธ์ของคนญี่ปุ่นและคนสิงค์โปร์ใน องค์กรดีขึ้น’ ซึ่งในระหว่างบทสนทนานั้น มีคําพูดหนึ่งของผู้จัดการชาวสิงค์โปร์พูดออกมาและยังคงเป็นคําพูดที่ผมจําได้เป็นอย่างดีจนถึงทุกวันนี้

‘ผมว่าพวกเราเลิกให้ความสําคัญกับความเป็นคนญ่ีปุ่นหรือคนสิงค์โปร์เถอะ อย่าลืมว่า พวกเราเป็นคนเอเซียเหมือนกัน’

คําพูดนั้นทําให้ผมเข้าใจหลายๆสิ่งเพิ่มขึ้นมาก พวกเราคนเอเซียมีลักษณะวัฒนธรรมการ สื่อสารที่เหมือนกัน การที่เราจะสร้างองค์กรสร้างธุรกิจที่ประกอบไปด้วยบุคลากรจาก หลายๆประเทศ เราคงควรจะให้ความสําคัญกับส่ิงที่ ‘เหมือนกัน’ มากกว่าสิ่งที่ ‘แตกต่างกัน’ และหลังจากน้ันเป็นต้นมา ผมก็ตัดสินใจที่จะ
ทํางานเก่ียวกับการสร้างองค์กรในประเทศต่าง ๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงทุกวันนี้

บทความต่อเนื่องนี้เป็นบทความที่เขียนเป็นภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่น สําหรับคนไทยที่ทํางานร่วมกับคนญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นที่ทํางานใน ประเทศไทย รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นที่คิดจะตัดสินใจมาลงทุนในประเทศไทยต่อจากนี้ ผมเองก็จะพยายามสร้างทีมของผมให้เป็นทีมที่มีความสุข และจะแชร์ความรู้และประสบการณ์ในการทํางานในฐานะที่ปรึกษาด้านบุคลากรของผมให้แก่ทุกท่านผ่านการเขียนบทความนี้ หวังว่าบทความ นี้จะช่วยสร้างให้ความสัมพันธ์ในการทํางานของคนไทยและคนญ่ีปุ่นดีข้ึนครับ

Asian Identity’s Service on Cross-cultural Collaboration

Asian Identity ให้บริการให้คําปรึกษา และออกแบบระบบเพื่อพัฒนาความ สัมพันธ์ที่ดีในการทํางานเป็นทีม รวมถึง การแก้ปัญหาการทํางานร่วมกัน โดย เฉพาะสําหรับทีมต่างภาษาและ วัฒนธรรม เช่นไทยและญี่ปุ่น

ออกแบบและจัดเวิร์คชอบระหว่างคน สองชาติ ที่นําไปสู่การเรียนรู้ร่วมกัน ผู้ เข้าร่วมจะสามารถเข้าใจได้ถึงความแตก ต่างในวิธีการคิด ความคาดหวัง แนว การทํางานของอีกฝ่าย และสามารถ สร้างความสัมพันธ์ภายในทีม พัฒนาวิธี การทํางานร่วมกันเพื่อปรับใช้ในการ ทํางานจริง

เปิดผังอบรมสัมมนาทั่วไปจาก Asian Identity

Asian Identity ได้รวบรวมเวิร์คชอบท่ีตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการจากองค์กรต่าง ๆ มาเปิดเป็น Public Workshop Series ภายใต้ ชื่อ Asian Identity College 2017 เปิดให้ผู้สนใจ หรือองค์กรต่าง ๆ มาร่วมเรียนรู้ ฝึกฝน และแชร์ประสบการณ์ร่วมกันถึง 5 หลักสูตรหลัก ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการคน การคิดวางแผนและประมาณการอย่างมีหลักการ กลยุทธ์การตลาด นอกจากนี้ เรายังได้เปิดหลักสูตรใหม่ คือ “ติวเข้มคน HR (HR College)” รวมทุ กองค์ความรู้และแนวคิดที่ HR ทุกคนต้องมีสําหรับการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมี เสถียรภาพ และที่พิเศษท่ีสุด ในปีนี้เราจัด Identity Leadership Workshop หรือการสร้างภาวะความเป็นผู้นํา โดยเริ่มจากตัวตนของคุณเอง ถึงสองรุ่นในปีนี้

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]