HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.43 ขับเคลื่อนผู้คนด้วยคุณงามความดี ไม่ใช้กำลังบังคับ – DEC , 2020
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.43 ขับเคลื่อนผู้คนด้วยคุณงามความดี ไม่ใช้กำลังบังคับ – DEC , 2020

09 ธ.ค..2020

จดหมายข่าวฉบับที่ 43 นี้ ผมขอนำกรณีศึกษามาวิเคราะห์ให้ทุกท่านอ่านเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว

เรื่องราวในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นหัวหน้างานมักจะกังวลใจอยู่ เนื้อหาอ้างอิงจากเรื่องจริงครับ

ขับเคลื่อนผู้คนด้วยคุณงามความดี ไม่ใช้กำลังบังคับ


หัวหน้างานที่รู้สึกหงุดหงิดเมื่อสมาชิกในองค์กรไม่เชื่อฟังตน
ขอเล่าเรื่องราวของคุณทาคาฮาชิ (นามสมมุติ) ซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์แห่งหนึ่ง เขาย้ายไปประจำที่มาเลเซียในปีที่แล้ว ตอนทำงานที่ญี่ปุ่น เขาดูแลงานด้านการขายได้เป็นอย่างดี หลังจากที่สั่งสมประสบการณ์มาระยะหนึ่ง เขาก็ได้ย้ายมาเป็นประธานสำนักงานขายที่ประเทศมาเลเซีย

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ สาขาที่มาเลเซียทำผลประกอบการได้ไม่ดี บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นคาดหวังว่าคุณทาคาฮาชิจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ คุณทาคาฮาชิเองก็ย้ายมาประจำที่มาเลเซียด้วยความมุ่งมั่น ว่าจะปฏิรูปองค์กรให้สามารถปฏิบัติงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย แต่สภาพจริงที่เขาได้เห็นตรงหน้านั้นทำให้เขารู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย

พนักงานที่สำนักงานขายซึ่งทำงานล้มเหลวมาตลอดหลายปีมองว่า “เป็นเรื่องปกติที่ตนไม่สามารถทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย” ความเคยชินข้างต้นได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในองค์กรแห่งนี้

นอกจากนี้ สมาชิกในองค์กรก็ยังไม่รายงานตัวเลขต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการทำความเข้าใจผลประกอบการอย่างถูกต้องด้วย คุณทาคาฮาชิรู้สึกไม่สบายใจที่องค์กรนี้ยังไม่มีระบบบริหารจัดการตัวเลขอย่างแม่นยำ

คุณทาคาฮาชิได้ลองปฏิรูปองค์กรโดยอ้างอิงจากประสบการณ์ของตน เขาได้สร้างระบบการทำงานซึ่งจะทำให้เขาได้รับรายงานที่ถูกต้อง เขาได้จัดทำแบบฟอร์มสำหรับใช้รายงานและจัดการประชุมอย่างเป็นประจำ เขาตั้งตนเป็นผู้นำในการปฏิรูปให้สำนักงานขายแห่งนี้เป็นองค์กรที่มีกฎระเบียบ และให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงาน

แต่เหล่าพนักงานไม่ได้พร้อมที่จะก้าวไปพร้อมกับเขา มีพนักงานเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นที่กรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์มแล้วส่งรายงานทุกสัปดาห์ตามที่เขากำหนด พอคุณทาคาฮาชิชี้แนะอย่างเข้มงวด เหล่าพนักงานก็เอาแต่นิ่งเงียบ เมื่อเทียบกับตอนก่อนปฏิรูปองค์กร เขารู้สึกว่าความตือรือร้นของคนในองค์กรลดลงต่ำกว่าเดิมเสียอีก

“เราควรทำโทษพนักงานที่ไม่รักษากฎเกณฑ์หรือไม่”

“เราควรกำจัดพนักงานที่ถอดใจยอมแพ้จนเป็นนิสัย แล้วเอาพนักงานใหม่เข้ามาแทนที่ดีไหม”

“เหล่าพนักงานกำลังมองว่าเราเป็นศัตรูที่ถูกส่งมาจากญี่ปุ่นเพื่อเป็นประธานคนใหม่แน่ ๆ เลย”

ความคิดต่าง ๆ นานาผุดขึ้นในหัวของคุณทาคาฮาชิ ความหงุดหงิดก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยที่พนักงานนั้นต่างก็ไม่ได้รับรู้ด้วยเลย คุณทาคาฮาชิรู้สึกกังวลใจเรื่อยมา เขาอยากดำเนินการอย่างเด็ดขาดแต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหนก่อนดี


ความสัมพันธ์ที่แย่ลงก่อให้เกิดวงจรแห่งความเลวร้าย
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หัวหน้างานเก่ง ๆ ซึ่งสร้างผลงานได้ดีในญี่ปุ่นจะมาสะดุดล้มครั้งใหญ่เมื่อย้ายมาทำงานในต่างประเทศ ยิ่งหัวหน้างานเคยประสบความสำเร็จมามากเท่าไร ก็จะยิ่งไม่ถนัดที่จะปรับเปลี่ยนความคิดของตนเอง เพราะไม่สามารถถอนตัวขึ้นจากหลุมพรางที่ตนได้ฝังตนเองไว้

เวลาที่คนเราโยกย้ายมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เราควรจะให้ความสำคัญกับ “การ Unlearn (การละทิ้งสิ่งที่ได้เรียนรู้มา = การจงใจละทิ้งรูปแบบความสำเร็จที่ตนเคยเรียนรู้มาในอดีตและวิธีการมองโลกในแบบเดิม ๆ)” ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกแต่หลายคนก็ไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ

ในขณะนั้น คุณทาคาฮาชิอยู่ในวังวนของความคิดเดิม ๆ ที่ตนคิดว่าถูกต้องแล้ว เขาจึงมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ร้าย เช่นมองว่า “อีกฝ่ายคิดผิด” “ถ้าไม่ได้รับบทลงโทษ อีกฝ่ายก็จะไม่เริ่มดำเนินการ” “อีกฝ่ายมองตนในแง่ร้าย” เป็นต้น คาดว่าคุณทาคาฮาชิคงมองสมาชิกในองค์กรเป็นพวกหัวรั้น ช่างต่อต้านไปแล้ว

เรื่องราวข้างต้นน่าจะเป็นเรื่องราวที่คุณผู้อ่านทั้งหลายรู้สึกตามได้ ทั้งนี้ หากมีความรู้สึกเชิงลบบางอย่างอยู่ในใจ ต่อให้ไม่พูดออกมาตรง ๆ ความรู้สึกแง่ลบเหล่านั้นก็จะยังแสดงออกมาผ่านสีหน้าและท่าที เมื่อเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกข้างต้น อีกฝ่ายก็คงจะไม่อยากเปิดใจรับฟังสักเท่าไร แม้สิ่งที่พูดจะเป็นไปตามหลักตรรกะก็ตาม

คุณรู้จัก “ทฤษฎีแห่งความสำเร็จ” หรือไม่ ทฤษฎีข้างต้นอธิบายไว้ว่า “คุณภาพของความสัมพันธ์” ส่งผลกระทบต่อ “คุณภาพของความคิด” “คุณภาพของการกระทำ” และ “คุณภาพของผลลัพธ์”

เมื่อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน คนเราจะนึกถึงอีกฝ่ายในเชิงลบไปเสียหมด อย่างที่รู้กันว่าการกระทำที่เกิดจากแนวคิดในแง่ลบย่อมไม่มีประสิทธิภาพ มักจะเป็นการกระทำในแง่ลบและไม่ก่อให้เกิดผลดี

คุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหม เวลาที่ความสัมพันธ์ของเรากับใครอีกคนกำลังแย่ลง ต่อให้เรากำลังทำอย่างอื่นอยู่ สมองเราก็จะเผลอคิดถึงเรื่องของคน ๆ นั้นขึ้นมา ถึงตรงนี้คุณน่าจะเห็นแล้วว่าความสัมพันธ์ของเรากับใครคนหนึ่งสามารถครอบงำความคิดของเราเองได้มากแค่ไหน

ก่อนที่จะ “ให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ตัวเราต้องการ” เราควรใส่ใจในการ “ปรับความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่าย” ก่อนเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ก็อย่าเอาแต่หวังว่า “อีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลง”เราจำเป็นต้อง “ปรับเปลี่ยนที่ตัวของเราเอง” ก่อน


สามารถตระหนักรู้ในตนเองได้หรือไม่
ผู้คนกล่าวว่า “การตระหนักรู้ในตนเอง” (Self-Awareness) คือสิ่งที่คนเป็นหัวหน้างานจำเป็นต้องมี

เล่าจื้อซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋าได้กล่าวไว้ว่า “ผู้ที่รู้จักตนเองคือผู้เห็นทางสว่าง” หมายความว่า การเข้าใจตนเองเป็นอย่างดีและสามารถพูดคุยกับตนเองได้ต่างหากที่สำคัญ คำสอนที่ส่งเสริมให้คนเราปรับเปลี่ยนตัวตนในลักษณะนี้มีอยู่มากมายในวงการปรัชญาโลกตะวันออก

การรู้จักตนเองคือการรู้ถึงสภาพใน “ปัจจุบัน” ของตน แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ยากกว่าที่คิด

ยกตัวอย่างนะครับ “ตอนนี้” คุณกำลังคิดอะไรอยู่ ดีไม่ดี ระหว่างที่อ่านบทความนี้ คุณอาจกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ก็เป็นได้

ต่อให้พยายามตั้งใจคิดถึงเรื่อง ๆ หนึ่งแล้ว แต่พอรู้ตัวอีกที กลับกลายเป็นว่าเรากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ การควบคุมตนเองนั้นคือสิ่งที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อ การรู้จักตนเองจะทำให้เรารู้เท่าทัน “สภาพในปัจจุบันของตน” และสามารถควบคุมตนเองได้อย่างสม่ำเสมอ

หากคน ๆ หนึ่งรู้ตัวว่า “ตนเป็นคนขี้โมโห แต่ก็มักจะโมโหอยู่ร่ำไป” ก็เท่ากับว่าเขายังไม่ได้เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ถ้ารู้ตัวแล้วว่าเป็นคนขี้โมโห ก็ควรจะรู้ตัวว่าตนกำลังจะโมโห หรือรู้ตัวว่าตนกำลังโมโหอยู่ และจำเป็นต้องควบคุมมันให้ได้

ความสามารถในการควบคุมตนเอง (Self-control) หรือความสามารถในการ “ควบคุมความคิดและร่างกายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน” ตามที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น คือสิ่งที่คนเป็นหัวหน้างานพึงมี ความสามารถข้างต้นเป็นมากกว่าการบ่งชี้ว่าหัวหน้างานควรทำอะไร (Doing) แต่มันกำลังบ่งชี้ให้เห็นว่าหัวหน้างานควรเป็นอย่างไร (Being) การมีตัวตนตามที่ได้กล่าวข้างต้นนี่แหละที่เป็นแรงขับเคลื่อนผู้คน


ขับเคลื่อนผู้คนด้วย “คุณงามความดี” ไม่ใช้กำลังบังคับ
วิธีการขับเคลื่อนองค์กรในยุคโบราณนั้นแบ่งกว้าง ๆ ออกเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน เม่งจื๊อ นักปราชญ์ชาวจีนได้อธิบายถึงวิถีแห่งผู้นำ (Leadership) ไว้ 2 แบบคือ “วิถีแห่ง Supremacy” (การใช้อำนาจเผด็จการ) และ “วิถีแห่ง Emperor” (จักรพรรดิ)

วิถีแห่ง Supremacy ก็คือการปกครองประเทศโดยใช้ “กำลัง” กล่าวคือการขับเคลื่อนองค์กรด้วยอาวุธและกลอุบาย น่าจะเป็นวิถีที่ใกล้เคียงกับแนวคิด Machiavellism ของชาวตะวันตก (การแสดงภาวะผู้นำโดยไม่เลือกวิธี ไม่คำนึงถึงหลักตรรกะ ขอแค่ให้งานสำเร็จตามเป้าหมายก็พอ)

ในทางกลับกัน “วิถีแห่ง Emperor” คือการแสดงภาวะผู้นำโดยใช้ “คุณงามความดี” กล่าวคือการรู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย เชื่อถือในตัวอีกฝ่ายพร้อมทั้งให้อิสรภาพในระดับหนึ่ง เป็นวิธีการที่ส่งผลให้อีกฝ่ายเริ่มปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ โดยเกิดจากความตั้งใจของตัวเขาเอง

การปกครองบ้านเมืองด้วยวิถีแห่ง Emperor นี้เป็นวิธีการที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งปรารถนาให้ประชาชนมีความสุข เม่งจื๊อกล่าวไว้ว่า เมื่อปกครองบ้านเมืองด้วยวิธีข้างต้นนี้ ประชาชนก็จะเลื่อมใสในคุณงามความดีนั้น รู้สึกเคารพ และพร้อมที่จะปฏิบัติตาม สุดท้ายบ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรืองตลอดไป

นอกจากนี้เขายังสอนว่า “หากผู้ปกครองบ้านเมืองปรารถนาต้องการให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นสุข ต่อให้ประชาชนได้รับภาระอันยากลำบาก พวกเขาก็จะไม่รู้สึกชิงชัง” หรืออาจจะกล่าวกลับกันได้ว่า การปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขนี่แหละที่จะทำให้ผู้อื่นยอมทนอยู่กับความทุกข์

ในบางครั้ง คนเราก็อยากที่จะใช้กำลังในการขับเคลื่อนองค์กร ในบางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องใช้กำลัง กรณีที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะสั้น การใช้กำลังก็อาจจะเป็นทางออกหนึ่งได้

แต่ถ้าต้องการสร้างองค์กรซึ่งสมาชิกในองค์กรสามารถเติบโตได้ในระยะยาว และสามารถดึงทักษะต่าง ๆ ของสมาชิกในองค์กรมาใช้งานได้อย่างแท้จริง ก็จำเป็นต้องแสดงความเป็นผู้นำโดยใช้ “คุณงามความดี” การขับเคลื่อนองค์กรด้วยการเปิดใจของตนและเชื่อมั่นในอีกฝ่ายนั้น จะทำให้สามารถดึงทักษะความสามารถของสมาชิกในองค์กรมาใช้ประโยชน์ได้

พวกเราทุกคนก็น่าจะเคยเจอสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกับคุณทาคาฮาชิซึ่งผมกล่าวถึงในตอนต้น แต่ผมไม่เคยได้ยินเลยสักครั้งว่าการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา หรือการมองว่าลูกน้องเป็นศัตรูจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้

ในทางกลับกัน ควรคิดเสียว่าช่วงเวลาแบบนี้นี่แหละที่จะเป็นโอกาสในการทบทวนและยกระดับความสามารถของตน จากนั้นก็เริ่มลงมือขัดเกลาตนเองให้ดียิ่งขึ้น ทัศนคติข้างต้นนี้จะส่งผลให้สมาชิกในองค์กรเริ่มลงมือปฏิบัติเช่นเดียวกัน

ขอจบจดหมายข่าวฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านครับ

———-

*ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าเป็นไปได้ ขอให้คุณผู้อ่านแชร์จดหมายข่าวนี้ให้แก่คนรู้จักหรือเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นด้วยนะครับ
>> https://asian-identity.com/hr-egg-jp/newsletter/dec-2020

*“สู้สู้ พิมพ์ เล่ม 2” หนังสือสำหรับเรียนรู้ภาวะการเป็นผู้นำผ่านการ์ตูนแนวญี่ปุ่นได้ออกวางจำหน่ายแล้วครับ ขอให้คุณผู้อ่านสั่งซื้อโดยคลิกด้านล่างนี้นะครับ

ฉบับภาษาไทย: http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNDQ5NjM4MCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzNTg4MSI7fQ

ฉบับภาษาญี่ปุ่น: http://bit.do/fLSJc

*ทีมงาน Asian Identity กำลังจะจัดสัมมนาด้านภาวะการเป็นผู้นำและงาน HR คุณสามารถดูกำหนดการจัดสัมมนาต่าง ๆ ได้ที่นี่ครับ

>> https://asian-identity.com/hr-egg-th/event

Credit:
Photo by Pixabay from Pexels
Photo by Johan Van Wambeke from Unsplash
Photo by Priscilla Du Preez from Unsplash
Photo by Laurenz Kleinheider from Unsplash
Photo by Ashton Mullins from Unsplash

 

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]