HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.48 ทุกสิ่งเกี่ยวพันกัน: เตรียมใจอย่างไรจึงจะไม่กระวนกระวายใจไปกับข้อมูลที่ได้รับ – AUG , 2021
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.48 ทุกสิ่งเกี่ยวพันกัน: เตรียมใจอย่างไรจึงจะไม่กระวนกระวายใจไปกับข้อมูลที่ได้รับ – AUG , 2021

18 ส.ค..2021

สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านครับ ขอเริ่มจดหมายข่าวฉบับที่ 48 กันเลยนะครับ

ทุกสิ่งเกี่ยวพันกัน: เตรียมใจอย่างไรจึงจะไม่กระวนกระวายใจไปกับข้อมูลที่ได้รับ

ปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับในหลาย ๆ ประเทศ คาดว่าสถานการณ์ข้างต้นน่าจะส่งผลต่อการทำงานของคุณผู้อ่านทุกท่านไม่น้อย ผมจึงอยากให้เราทุกคนหันมาใส่ใจในสุขภาพของตนเอง คนในครอบครัว และพนักงานในบริษัท ทั้งนี้ บริษัท Asian Identity เองก็ได้ตั้งคำว่า “สุขภาพมาก่อน” เป็นสโลแกนการทำงานช่วงครึ่งหลังของปีนี้เช่นกัน

สิ่งที่ผมใส่ใจเป็นพิเศษน่าจะเป็นเรื่องความเหนื่อยล้าทางใจ เวลาที่เกิดโรคระบาด ข้อมูลข่าวสารที่ไม่มีความถูกต้องแม่นยำก็มักจะแพร่กระจายไปทั่ว ข่าวสารต่าง ๆ ได้รับการเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ข้อมูลที่เข้าหูเรานั้น หลายครั้งเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนอย่างจงใจ อาจสร้างความกังวล และทำให้หลายคนตัดสินใจกระทำบางอย่างโดยหุนหันพลันแล่น หรืออาจทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้ากับข้อมูลที่ถาโถมเข้ามา

เราทุกคนซึ่งเป็นผู้นำพาองค์กร และดูแลงานด้านทรัพยากรบุคคลนั้น ไม่ควรกระวนกระวายใจไปกับข้อมูลซึ่งยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทราบ และจะต้องใช้สติในการตัดสินใจ ทว่า ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถปฏิบัติงานด้วยทัศนคติข้างต้นได้


มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบตีความข้อมูล
ผมขอยกเรื่องดังเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า “มนุษย์ชอบนำข้อมูลมาตีความ” มาเล่า ณ ที่นี่

ในอดีต นักวิจัยได้นำข้อมูลการซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตมาวิเคราะห์ และพบว่า “ผู้บริโภคมักจะซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปพร้อม ๆ กับเบียร์” นับว่าเป็นผลการวิเคราะห์ที่เหนือความคาดหมาย เพราะผู้คนทั่วไปมักจะคาดเดาว่า “คนที่มาซื้อเบียร์น่าจะซื้อกับแกล้มติดมือไปด้วย”

เมื่อเห็นผลการวิเคระห์แล้ว มนุษย์เราก็จะรู้สึกอยากตีความผลลัพธ์ดังกล่าว เช่น

“น่าจะเป็นลูกค้ากลุ่มที่มีรถคันใหญ่หรือเปล่านะ พวกเขาอาจจะเหมาซื้อไปเยอะ ๆ ในครั้งเดียว”

“พอมีลูก เลยต้องอยู่บ้านมากขึ้น คนก็เลยมาซื้อเบียร์กระป๋องไปดื่มที่บ้านหรือเปล่านะ”

สมมุติฐานบางข้ออาจจะถูกต้องก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครที่รู้สาเหตุที่แท้จริง ผลการวิเคราะห์ทำให้เรารู้ถึง “ความเกี่ยวพันของสองสิ่ง (สองสิ่งนี้ถูกขายไปด้วยกัน)” แต่ไม่ได้ทำให้เรารู้ “ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (ทำไมคนจึงซื้อสองสิ่งนี้พร้อมกัน)”

แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบแปลง “ความเกี่ยวพันของสองสิ่ง” ให้กลายเป็น “ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล” คนเราตีความข้อมูลที่ได้รับโดยคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา ในบางครั้ง สิ่งที่คาดเดาก็ไม่ได้มีหลักตรรกะอันใด เป็นเพียงแค่ผลจากการตีความให้สอดคล้องกับประโยชน์ของตน เช่น

“สภาพแวดล้อมด้านการเลี้ยงเด็กกำลังแย่ลง! เนื่องจากมีหลายครอบครัวที่พ่อแม่ดื่มเบียร์ไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกไปด้วย”

“ควรซื้อเบียร์และผ้าอ้อมสำเร็จรูปพร้อมกัน! เนื่องจากเบียร์จะอร่อยขึ้นถ้าสวมผ้าอ้อมให้ลูกไปด้วยดื่มไปด้วย”

ตัวอย่างข้างต้นอาจจะฟังดูสุดขั้วไปหน่อย แต่ผมคิดว่า ข้อความจำนวนไม่น้อยที่เราเห็นตามโซเชียลมีเดียก็มีลักษณะเดียวกัน

ต่อให้ข้อมูลหรือตัวเลขต่าง ๆ จะเป็นข้อเท็จจริงก็ตาม แต่ข้อสรุปที่ผู้เขียนเสนอนั้น คือความเห็นประเภทหนึ่ง เราจึงจำเป็นต้องรับสารด้วยความระแวดระวังว่า “มันจริงหรือไม่” กล่าวคือ เราจำเป็นต้องรับมือกับสิ่งหนึ่งโดยมองว่า “มันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้”


ทุกสิ่งต่างเกี่ยวพันและส่งผลต่อกันและกัน
ในอดีต พระนาคารชุนะได้เผยแพร่ “ปรัชญาศูนยตวาท (ความไม่มีตัวตน)” อย่างกว้างขวาง

ท่านมองว่า “สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีความอยู่ด้วยตัวเอง แต่เกิดได้เพราะอาศัยเหตุปัจจัยอิงกันเกิด” เวลาได้รับข้อมูล บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่า ข้อมูลดังกล่าวน่าจะเป็นข้อเท็จจริง แต่ข้อมูลที่เราได้รับนั้น เกิดจากการที่ใครคนหนึ่งเลือกขึ้นมาอย่างจงใจ มันเป็นแค่สิ่งที่ใครคนหนึ่ง “ตระหนักถึงเป็นพิเศษ” เท่านั้น

กรณีข้างต้นนี้ ก็เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานเช่นเดียวกัน

สมมุติว่า มีผู้จัดการคนหนึ่งแจ้งคุณว่า “ผมมีพนักงานในทีมที่ทำงานไม่เก่ง และอยากให้คุณช่วยทำอะไรสักอย่าง” ด้วยข้อมูลเพียงเท่านี้ คุณสามารถประเมินได้หรือครับ ว่าพนักงานดังกล่าวไม่ดีพอ

・ที่พนักงานทำผลงานได้ไม่ดีนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า ผู้จัดการสอนงานได้ไม่ดีพอ ถ้าเป็นเช่นนั้น คนที่ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายบุคคลต้องพัฒนา ก็คือผู้จัดการ

・พนักงานอาจจะไม่เหมาะกับงานดังกล่าว ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อาจจะต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการทบทวนแก้ไขภาระงานที่มอบหมาย

・สถานการณ์รอบข้างพนักงานคนดังกล่าวอาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงพอดี จึงส่งผลให้เขาไม่สามารถสร้างผลงานได้ดี หากปรับปรุงให้สถานการณ์รอบข้างดีขึ้น เขาอาจจะกลับมาสร้างผลงานอีกครั้ง การด่วนสรุปจึงไม่น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสม

เราสามารถตีความเหตุการณ์หนึ่งได้อย่างหลายหลายตามตัวอย่างข้างต้น ทั้งนี้ เราไม่สามารถประเมิน “ผลงานของคน ๆ หนึ่ง” โดยไม่พิจารณาประเด็นรอบข้างได้ “ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง (ทั้งคนและสถานการณ์ต่าง ๆ)” นั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่ส่งผลให้บุคคลหนึ่งสร้างผลงาน ฝ่ายบริหารและฝ่ายบุคคลจึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้ดีว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง” มีความผิดปกติหรือไม่

สุดท้าย ขอสรุปสิ่งที่เราควรใส่ใจระมัดระวังไว้ดังนี้

พิจารณาอย่างระมัดระวังว่า อะไรที่เป็นข้อเท็จจริง อะไรที่เป็นผลจากการตีความ หากทำได้ ก็ควรจะพยายามหาข้อมูลต้นตอ (ตัวข้อเท็จจริงนั้นหรือเสียงพูดของเจ้าตัว)

ไม่มองข้อมูลด้านเดียว แต่ต้องทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลดังกล่าวกับข้อมูลรอบข้าง และประเด็นที่ส่งผลกระทบระหว่างกัน

การกระทำข้างต้นน่าจะส่งผลให้เราทุกคนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีสติ

ผมขอจบจดหมายข่าวฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าคุณผู้อ่านทุกท่านจะสามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติ “ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจไปกับข้อมูลที่ได้รับครับ!”

*ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าเป็นไปได้ ขอให้คุณผู้อ่านแชร์จดหมายข่าวนี้ให้แก่คนรู้จักหรือเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นด้วยครับ
>>https://asian-identity.com/hr-egg-jp/newsletter/aug-2021

 

*“สู้สู้ พิมพ์ เล่ม 2” หนังสือสำหรับเรียนรู้ภาวะการเป็นผู้นำผ่านการ์ตูนแนวญี่ปุ่นได้ออกวางจำหน่ายแล้ว คุณสามารถสั่งซื้อโดยคลิกด้านล่างนี้

ฉบับภาษาไทย: http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNDQ5NjM4MCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzNTg4MSI7fQ

ฉบับภาษาญี่ปุ่น: http://bit.do/fLSJc

 

Credit:
Photo by Anne Nygård from Unsplash
Photo by Christian Erfurt from Unsplash
Photo by Yosep Surahman from Unsplash
Photo by Alina Grubnyak from Unsplash

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]