Newsletter

โลกใบนี้ได้รับความเสียหายจากไวรัสโควิดมากว่าครึ่งปีแล้ว สังคมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแบบ “New Normal” อัตราการติดเชื้อในตัวเมืองต่าง ๆ ในไทยนั้นเป็นศูนย์มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถลดความระมัดระวังลงได้
พอลองเปรียบเทียบสภาพก่อนและหลังสถานการณ์โควิด แล้วพิจารณาว่าองค์กรมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง ผมก็พบว่ากระบวนการ “Reflection (การไตร่ตรองหรือย้อนทบทวนตนเอง)” ภายในองค์กรหลายแห่งน่าจะลดน้อยลง ผมจึงลองเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ “กระบวนการ Reflection” ในจดหมายข่าวฉบับนี้

การไตร่ตรองตนเอง คือ องค์ประกอบที่จำเป็นต่อการพัฒนาบุคลากรและองค์กร
การไตร่ตรองตนเอง (Reflection) คือการ “ย้อนทบทวนการกระทำหนึ่ง แล้วมองหากรอบความคิดบางอย่างจากการกระทำนั้น” บางคนก็เรียกขั้นตอนนี้ว่า “Conceptualization (การสร้างกรอบความคิด)”
พฤติกรรม “การเขียนไดอารี่” ก็เป็นตัวอย่างง่าย ๆ อย่างหนึ่งของการไตร่ตรองตนเอง หรือบริษัทหลายแห่งก็น่าจะให้พนักงานทำรายงานส่ง อาจจะเป็นแบบรายวันหรือรายสัปดาห์ ทั้งนี้ ตอนที่ทำรายงาน คนเราก็ย่อมต้องย้อนทบทวนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง หรืออาจจะคิดไปถึงขั้นที่ว่าตนได้ตระหนักหรือเรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้น พฤติกรรมเหล่านี้คือกระบวนการ Reflection ครับ
ความรู้สึกในตัวคนเรานั้นอาจจะยังไม่ตกผลึกหากไม่มีการกลั่นกรอง Reflection คือการแปลงความรู้สึกนั้นออกมาเป็นกรอบความคิดอย่างหนึ่ง (สร้างคอนเซ็ปต์) กล่าวคือ “การหาคำมาบรรยาย” ทำไมถึงต้องแปลงออกมาเป็นคำพูด นั่นเป็นเพราะว่าคนเราจะยังไม่เกิดการเรียนรู้หากยังไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ พูดให้ถูกต้องกว่านี้ได้ว่าคนเราอาจได้เรียนรู้อะไรบางอย่างแล้ว แม้จะยังไม่ได้บรรยายสิ่งหนึ่งออกมาเป็นคำพูดก็ตาม แต่มักจะไม่นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติ
สมมุตว่าคนเราทำงานผิดพลาดแล้วโดนหัวหน้าดุ ตอนนั้นคนเราอาจจะรู้สึกสำนึกผิด แต่ก็จะยังมีคนที่ทำผิดพลาดซ้ำ เรียกได้ว่าคนกลุ่มนี้ยังขาดกระบวนการ Reflection
หลังทำผิดพลาด ควรตั้งสติแล้วพิจารณาว่า “ทำผิดพลาดเพราะอะไร” “ควรทำอย่างไรจึงไม่ผิดพลาดซ้ำ” การพิจารณาเช่นนี้จะเป็นบทเรียนแก่บุคคลดังกล่าว เขาจะได้เรียนรู้ว่า “จากนี้เขาควรระมัดระวังในด้านใด จะได้ไม่ผิดพลาดอีก”
ความสามารถในการ “แปลงประสบการณ์เป็นบทเรียน” ข้างต้นนี้เป็นปัจจัยที่สร้างความแตกต่างระหว่างบุคคล หรือถ้าจะกล่าวว่า “การสั่งสมบทเรียน” คือกระบวนการพัฒนาตน (โดยเฉพาะการพัฒนาตนจากภายใน) ก็คงไม่ใช่การกล่าวเกินจริง “การสั่งสมบทเรียน” ในแต่ละวันตามที่ได้กล่าวข้างต้นคือสิ่งที่ผู้ซึ่งย้อนทบทวนตนเองกระทำอยู่เสมอ
ผมทราบมาว่านักกีฬาระดับแนวหน้าก็มักจะเขียนไดอารี่อย่างสม่ำเสมอ นั่นเป็นเพราะว่าการ “คิด” ไปฝึกฝนไปก่อให้เกิดการพัฒนามากกว่าการเอาแต่ฝึกฝนไปวัน ๆ ทั้งยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าอีกด้วย

โควิดทำให้กระบวนการ Reflection ลดลงหรือไม่
การ Reflection โดยคิดเองคนเดียวนั้นมักจะไม่ค่อยได้ผลดีนัก จำเป็นต้องมีสิ่งที่จุดประกายให้เกิดการไตร่ตรองตนเอง
สิ่งที่จุดประกายความคิดได้ดีที่สุดก็คือ “การตั้งคำถาม”
จากตัวอย่างการทำงานผิดพลาดที่ยกมาก่อนหน้า หากพนักงานได้พูดคุยกับหัวหน้าหรือรุ่นพี่ หากหัวหน้าสอบถามพนักงานคนนั้นว่า “ถ้ามีโอกาสได้ทำงานนี้อีกครั้ง คุณจะทำมันอย่างไร” พนักงานก็จะเกิดไอเดียต่าง ๆ เช่น “ถ้าให้ผู้อื่นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมากขึ้นก็คงจะไม่พลาด” หรือ “ถ้าตรวจสอบข้อมูลในอดีตก่อนลงมือทำก็คงไม่พลาด” เป็นต้น
คนที่ถนัดด้านการ Reflection มักจะสามารถตั้งคำถามให้แก่ตนเองได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครก็สามารถทำได้ ดังนั้น การสื่อสารหรือสอบถามจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานจึงเป็นองค์ประกอบที่ส่งผลต่อกระบวนการไตร่ตรองตนเองเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ก็ยังจำเป็นต้องมี “ทรัพยากร” ซึ่งจุดประกายให้เกิดการคิดด้วย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันหรือข้อมูลที่บุคคลหนึ่งเข้าถึงนั้น ทำหน้าที่จุดประกายให้เกิดกระบวนการ Reflection เช่น บุคคลหนึ่งอาจจะรู้สึกว่าไอเดียหนึ่งน่าสนใจ จากนั้นก็เลยคิดต่อว่าถ้านำไอเดียข้างต้นมาปรับใช้กับงานอื่นจะเป็นอย่างไร การเข้าถึง “ทรัพยากร” ต่าง ๆ เหล่านี้ส่งเสริมให้เกิดการกระบวนการไตร่ตรองตนเองมากยิ่งขึ้น
การทำงานแบบ Work From Home ส่งผลให้คนในที่ทำงานพูดคุยเรื่องสัพเพเหระน้อยลง นอกจากนี้ การเว้นระยะห่างทางสังคมก็ส่งผลให้การนัดทานข้าวและงานเลี้ยงภายในบริษัทลดลงด้วย กิจกรรมข้างต้นไม่ได้สร้างความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นกิจกรรมที่ทำหน้าที่สร้างข้อคิดใหม่ ๆ และทำให้ผู้คนตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ ด้วย
ไวรัสโควิดส่งผลให้ผู้คนในบริษัทติดต่อสัมพันธ์กันน้อยลง ด้วยเหตุนี้ บุคคลหนึ่งอาจจะไม่ได้รับการสอบถามจากคนรอบข้าง ทั้งที่เมื่อก่อนพฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นเองแม้ไม่มีเจตนา นอกจากนี้ โอกาสการเข้าถึง “ทรัพยากร” ก็น่าจะลดลงด้วย สถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในองค์กรของคุณบ้างไหมครับ
ภาวะข้างต้นส่งผลให้การพัฒนาของแต่ละคนและระดับการเรียนรู้โดยรวมของคนในองค์กร (ซึ่งเกิดจากประสานความสามารถของแต่ละคน) เกิดการชะงักตัว ผมคิดว่าภาวะนี้น่าจะเริ่มเกิดขึ้นภายในองค์กรหลายแห่งแล้ว คิดว่าเป็นประเด็นปัญหาหนึ่งขององค์กรในยุคโควิด

จาก Reflection ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่เจตนา สู่ “Reflection ซึ่งถูกออกแบบขึ้นมาอย่างจงใจ”
ข้อสรุปที่ได้ก็คือการอุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นภายในองค์กรโดย “สร้างกระบวนการไตร่ตรองตนเองขึ้นมาอย่างจงใจ”
ในยุคที่ผู้คนสมาคมกันน้อยลง องค์กรไม่ควรหวังว่าการไตร่ตรองตนเองจะเกิดขึ้นเอง ควรใส่ใจในองค์ประกอบต่อไปนี้ แล้วออกแบบวิธีการทำงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดกระบวนการ Reflection อย่างจงใจ
อันดับแรกคือ “การสร้างกิจวัตรการย้อนทบทวนตนเองอย่างสม่ำเสมอ”
เวลาประชุมกันแบบออนไลน์ คนเราจะเน้นพูดคุยเรื่องที่อยู่ในวาระการประชุมเท่านั้น จึงควรสร้างระบบการย้อนทบทวนตนเอง เช่น กำหนด “เวลาสำหรับย้อนทบทวนตนเอง” เป็นหนึ่งในวาระการประชุมไปเลย หรือสร้าง Reflection Thread (การตอบคอมเมนต์ย่อยจากข้อความหลักซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการย้อนทบทวนตนเอง) โดยใช้เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ เช่น Slack เป็นต้น
เมื่อทำเช่นนี้ ผลการไตร่ตรองตนเองของพนักงานคนหนึ่งก็จะได้รับ “การแชร์และสั่งสม” ไว้ภายในองค์กร กล่าวคือ เกิดการสั่งสมบทเรียนภายในองค์กร
ในขั้นตอนนี้ สิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ “การบรรยายผลการไตร่ตรองตนเองโดยตระหนักว่ามีผู้อ่าน” สิ่งที่บุคคลหนึ่งตระหนักถึงย่อมมีความสำคัญและมีค่าต่อเจ้าตัว แต่แทนที่จะให้มันเป็นบทเรียนสำหรับบุคคลนั้นเพียงคนเดียว บทเรียนอันเป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากย่อมมีค่าต่อองค์กรยิ่งกว่า
นอกจากนี้ การให้ Feedbackแก่กันและกันก็มีความสำคัญ
เมื่อคนเราได้รับ Feedback ก็จะคิดถึงเรื่องนั้นมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็จะกระตือรือร้นที่จะบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นด้วย เหมือนตอนที่มีคนมากด Like ใน Facebook
ตามปกติ ถ้าหัวหน้างานไม่แสดงความเห็น ลูกน้องก็จะเริ่มไม่รายงาน ด้วยเหตุนี้ การจัดให้มีการตอบสนองเมื่อสิ่งที่ลูกน้องบอกเล่าเป็นบทเรียนที่ดีก็มีความสำคัญ
ทั้งหมดนี้ก็คือ “การออกแบบระบบงานเพื่อส่งเสริมกระบวนการไตร่ตรองตนเองอย่างจงใจ” ถ้าคุณผู้อ่านรู้สึกว่าไวรัสโควิดส่งผลให้การเรียนรู้และการเติบโตขององค์กรเกิดขึ้นช้าลง ขอให้ลองตรวจเช็คดูสักครั้งว่ากระบวนการ Reflection ภายในองค์กรเกิดขึ้นน้อยลงหรือไม่
* ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ! คลิกที่นี่
* ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่น อ่านที่นี่
* ข้อเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรรูปแบบ In-house คลิกที่นี่
*ทีมผู้จัดทำ AI Newsletter ยินดีรับฟังความเห็นและตอบคำถามของคุณผู้อ่านครับ! คุณสามารถส่งอีเมลแสดงความคิดเห็น หรือสอบถามมายัง info@a-identity.asia ได้เลยนะครับ! ขอโอกาสให้ผมได้ลองเขียนบทความในลักษณะถามตอบกับคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยนะครับ
Credit:
Photo by cottonbro from Pexels
Photo by Marc-Olivier Jodoin from Unsplash
Photo by fotografierende from Unsplash
Photo by Maksym Kaharlytskyi Unsplash
Photo by Cristian Dina from Pexels

Katsuhiro Nakamura (Jack)
CEO & Founder, Asian Identity Co., Ltd.
ดำเนินกิจการบริษัท Asian Identity องค์กรให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งมีความชำนาญงานในภูมิภาคเอเชีย และ มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้น ดำรงตำแหน่งปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์ทำงานที่บริษัท Nestlé บริษัท Link and Motivation และ บริษัท GLOBIS ปัจจุบันรับผิดชอบงานด้านการให้คำปรึกษา และ จัดอบรมในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยมีสำนักงานในประเทศไทย ระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพ ยังได้เขียน และ จำหน่ายหนังสือ “สู้สู้ PIM! (Su Su Pim!)” การ์ตูนให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจสำหรับชาวไทยด้วย
– Certified Facilitator of LEGO® SERIOUS PLAY®
– Completed ORSC™ – Organization and Relationship System Coaching Practical Application Course
– Certified Facilitator of Hofstede Insight Organizational Culture (วัฒนธรรมองค์กร)
– CoachingOurselves Facilitator
23 ก.พ., 2019
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.22 อยากสื่อสารความคิด ที่มีต่อคําาว่า ‘Isshokenmei
17 ก.ค., 2020
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.38 เทคนิคสองประการสำหรับการบริหารจัดการองค์กรในยุค “New Normal”
07 ต.ค., 2025
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.64 “คำที่ว่า “มองไม่เห็นเส้นทางสายอาชีพ (Career Path)” หมายความว่าอย่างไร?”