HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.13 การรับมือกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนต่าง วัฒนธรรมมาอยู่ร่วมกัน – APRIL , 2018
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.13 การรับมือกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนต่าง วัฒนธรรมมาอยู่ร่วมกัน – APRIL , 2018

24 ก.ค..2019

หัวข้อคราวนี้ คือ เรื่อง “วัฒนธรรมอันหลากหลาย” ครับ ในที่นี้ ผมไม่ได้จะเล่าเรื่องวัฒนธรรมไทย หรือ วัฒนธรรมญี่ปุ่นแต่ อย่างใด แต่ผมต้องการพิจารณาว่าความขัดแย้งที่เกิดจากวัฒนธรรมนั้นคืออะไร และและพวกเราสามารถก้าวข้ามความขัด แย้งนี้ได้อย่างไรบ้างครับ

การรับมือกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนต่าง วัฒนธรรมมาอยู่ร่วมกัน

“CATEGORY BIAS” ซึ่งทําให้เราตัดสินผู้คนโดยใช้ความคิดที่มีอยู่เดิม และมองข้ามความเป็นจริง
บริษัทของเราได้จัด Workshop หัวข้อ “การจัดการความแตกต่างทางวัฒนธรรม” อยู่บ้างครับ โดยมีทั้งคนไทยกั บคนญี่ปุ่น ร่วมพูดคุยกัน หัวข้อที่ทั้งสองฝ่ายมักจะยกมากล่าวถึงมีดังนี้ครับ

“คนญี่ปุ่นดูแลทุกขั้นตอนอย่างละเอียด ทํางานแบบ Micromanagement”
“คนญี่ปุ่นทํางานหนัก ไม่ให้ความสําคัญกับครอบครัว”
“คนไทยไม่รับผิดชอบงาน”
“คนไทยไม่แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับงาน” เป็นต้น

แม้ว่าอาจจะมีคนบางส่วนท่ีมีลักษณะดังกล่าว แต่ข้อความข้างต้นเป็นจริงเสมอไปหรือครับ ที่จริง คนญี่ปุ่นที่ให้ความสําคัญกับ ครอบครัวก็มี คนไทยที่มีความรับผิดชอบสูงก็มี การมองว่า “คนจากประเทศนั้น เป็นแบบนี้แบบนั้น” จะทําให้เราการมองสิ่ง ต่างๆอย่างตายตัว เราจึงจําเป็นต้องระมัดระวังครับ

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Category Bias” ครับ สมองของมนุษย์เรานั้นมีแนวโน้มที่จะจัดการกับข้อมูลด้วยการจับเข้าเป็นหมวด หมู่ต่างๆ พวกเราจึงมักจะตัดสินว่า “คนจากประเทศนั้น เป็นแบบนี้แบบนั้น” นอกจากนี้ อคติเหล่านี้มักจะก่อให้เกิดการตีความใน แง่ลบเสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้เราจึงมองภาพของอีกฝ่ายอย่างไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่งผลให้ความสัมพันธ์แย่ลงครับ

“3 EXS” หลักการรักษาความเป็นกลาง
หลักการ 3 Exs คือ หลักการที่แสดงถึงทัศนคติที่สําคัญที่ควรมีเมื่อ สื่อสารกับผู้คนต่างวัฒนธรรมครับ ประกอบด้วยขั้นตอน 3 ประการ ได้แก่ Explain คือ การบรรยายและทําการเข้าใจข้อเท็จจริงตามที่เป็น Examine คือ การตี ความเหตุที่เกิดโดยพิจารณาองค์ประกอบรอบ ด้าน พิจารณาเหตุผลที่เป็นไปได้ในมุมมองที่หลากหลายที่สุด และ Execute คือ การคิ ดประเมินว่า เราจะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ครับ

เช่น คนญี่ปุ่นมักจะไม่พอใจเพราะคิดว่า “คนไทยไม่แชร์ข้อมูล” แล้วก็คิด ตัดสินไปเองว่า “คนไทยไม่ได้เรื่อง” ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งถ้าเราเผลอ ตัดสินไปก่อน อันดับแรก เราต้องมาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดกัน ก่อนนะครับ ว่าคนไทยไม่ได้มารายงานจริง ๆ หรือ คุณรู้สึกว่าเขาไม่ได้ แชร์ข้อมูลส่วนไหนบ้าง

เมื่อเข้าในภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชัดแล้ว จึงเริ่มการตีความและ วิเคราะห์เหตุที่เกิด โดยพิจารณาจากมุมมองให้หลากหลายที่สุดครับ เช่น การที่เขาไม่แชร์ข้อมูลอาจจะเป็นเพราะว่าหัวหน้าไม่อยู่ที่ทํางานก็ เป็นได้ ที่ญี่ปุ่นการขอเวลาหัวหน้าเพื่อคุยด้วยอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่ ที่ประเทศไทยมีวัฒนธรรมการเคารพหัวหน้า ที่เขาไม่แชร์ข้อมูลอาจจะ เป็นเพราะเขารู้สึกเกรงใจแค่นั้นเองก็ได้ครับ หรืออาจจะเป็นเพราะว่า คุณยังไม่ได้กําหนดกฎเกณฑ์การแชร์ข้อมูลอย่างชัดเจนก็ได้ มองหา สาเหตุความเป็นไปได้ให้หลากหลายเข้าไว้ก่อนครับ เมื่อทําเช่นนี้แล้ว เรา ก็จะรู้ตัวมากขึ้นว่าเรากําลังยึดติดกับความคิดบางอย่างอยู่บ้างหรือ เปล่าครับ

สุดท้าย คือ ขั้นตอนการตัดสินใจ (Evaluate) ว่าสาเหตุของปัญหาคือ อะไร และควรแก้ไขอย่างไร

การทํางานกับคนต่างวัฒนธรรมต่างภาษานั้น ก่อให้เกิดความเครียด เป็นอย่างยิ่งครับ ที่ทํางานของทุกท่านก็คงมีบรรยากาศตึงเครียด มากใช่ไหมครับ พอคนเราเครียด ก็จะใช้อารมณ์ และตัดสินคนอย่าง ขาดความสุขุม โดยเฉพาะตอนยังอายุน้อย คนเรามักมีแนวโน้มเช่นนี้ ครับ

แต่ทว่า ความสุขุม และความเป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นคุณสมบัติสําคัญของผู้ เป็นหัวหน้างาน หัวหน้างานควรพยายามมองทุกสิ่งโดยอยู่บนพื้นฐาน ของข้อเท็จจริง แล้วรับมือกับอีกฝ่ายที่ใช้อารมณ์ หรือผู้ที่กําหนด ตัดสินสิ่งต่าง ๆ อย่างเกรี้ยวกราด รวมทั้งควรสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ให้แก่ ลูกน้อง ถ้าในที่ทํางานของเรา มีคนจํานวนมากที่สามารถรับมือกับสิ่ง ต่าง ๆ ได้อย่างสุขุมตามหลักการ 3 Exs ทั้งสามประการ บรรยากาศ ความตึงเครียดในการทํางานก็จะลดลงครับ

การมอง “ผู้อื่น” สะท้อนให้เห็นถึง “ตัวตนของเรา”
ตามที่ได้กล่าวข้างต้น เราไม่สามารถกําหนดสิ่งต่างๆได้อย่างง่ายดายตายตัว

ผมเองก็มีโอกาสได้ไปสิงคโปร์อยู่บ้าง บางคนพูดว่า “เป็นประเทศที่มีการพัฒนา ดูสะอาดสะอ้าน” บางคนพูดว่า “เป็นประเทศที่ ดูธรรมดา น่าเบื่อ” ครับ แต่ที่ที่พวกเขามองนั้นเป็นที่เดียวกัน ซึ่งก็คือประเทศสิงคโปร์ สิ่งที่แตกต่างกันนั้น ผมเห็นจะมีเพียงแค่ ค่านิยม และความชอบของคนมองครับ บ้างมองว่า “ชอบเพราะพัฒนาแล้ว” บ้างก็มองว่า “ไม่ชอบเพราะน่าเบื่อ” ครับ

การมอง “ผู้อื่น” นี่แหละครับ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของคนมองได้ดีเป็นอย่างยิ่ง เวลาที่เรารู้สึกบางอย่างกับใครบาง คน ก่อนที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เราควรลองหันกลับมาทําความเข้าใจตนเองก่อนว่าทําไมจึงรู้สึกเช่นนั้น ประเด็นนี้ต่างหากครับที่สําคัญ

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ”Judging a person does not define who they are. It defines who you are.” (การตัดสินคนอื่น ไม่ ได้บ่งบอกว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่บ่งบอกว่าคุณเป็นคนแบบไหนมากกว่า)

ผมคิดว่าหากสมาชิกแต่ละคนในองค์กรมีทัศนคติเช่นนี้ องค์กรก็จะสามารถเติบโตได้อย่างแท้จริงครับ หรืออย่างน้อยผู้ที่เป็น หัวหน้างานก็ควรจะมีทัศนคติดังกล่าว มิเช่นนั้น อาจเกิดการใช้อารมณ์ และ ยากต่อการควบคุมปัญหาในองค์กร ผมจึงนํา ประเด็นนี้มาฝากให้แก่ทุกท่าน เนื่องจากเป็นประเด็นที่พวกเราทุกคนซึ่งทํางานท่ามกลางผู้คนที่มาจากต่างวัฒนธรรมควร ระลึกถึงอยู่เสมอครับ

มุมพูดคุยกับทีม Asian Identity

อยากให้ทีม Asian Identity แนะนําหนังสื อ อ่านที่น่าสนใจสําหรับผู้ที่ทํางานด้านการ บริหารจัดการหน่อยครับ (4)
‘REVERSE INNOVATION – Create far from home, Win everywhereʼ by Vijay Govindarajan and Chris Trimble
by Vijay Govindra and Chris Trimble

เดิมที ผู้คนมักจะมองว่า นวัตกรรมจะเกิดขึ้นที่ ประเทศพัฒนาแล้วก่อน แล้วจึงขยายไปยังประเทศ กําลังพัฒนา แต่ในระยะ หลังมานี้ การแพร่ขยาย ของนวัตกรรมนั้นเกิดขึ้นใน
ทิศทางที่ต่างไปจากเดิมด้วย Reverse
Innovation คือ ยุทธศาสตร์การขยาย ตลาดสินค้าและบริการซึ่งพัฒนาขึ้นตาม ความต้องการของผู้คนในประเทศกําลัง พัฒนาแต่ละท้องถิ่น ไปสู่ตลาดการค้าภายใน ประเทศพัฒนาแล้ว

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงวิธีการรับมือกับคู่แข่งใน ตลาดประเทศกําลังพัฒนา โดยยกเรื่องราว
ของบริษัทนานาชาติ เช่น GE และ PepsiCo มาเป็นตัวอย่าง เล่าถึงการคิดโดยเริ่มจาก ศูนย์และไม่อ้างอิงประสบการณ์ที่เคยได้รับมา จากตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมทั้งวิธี การพัฒนาบุคลากรให้มาสามารถ สร้างสรรค์นวัตกรรมได้

เนื้อหาเหล่านี้จะทําให้คุณได้เรียนรู้กลไกการ ขยายธุรกิจจากประเทศกําลังพัฒนาไปสู่ ตลาดโลกได้ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่ เราอยากจะแนะนําให้แก่นักธุรกิจที่ต้องการ สร้างตลาดใหม่ๆโดยไม่ยึดติดกับ ประสบการณ์ความสําเร็จในอดีต และวิธีการ เดิมๆที่เคยทํามาค่ะ

แนะนํา AI College เวิร์คชอบสัมมนาเปิดในเดือน
พฤษภาคมและมิถุนายนนี้

ติวเข้มคน HR รวมทุกเรื่องที่ HR ต้องรู้ ภาค B: HR SYSTEM AND EVALUATION SYSTEM
อบรมวันศุกร์และเสาร์ที่ 11-12 พฤษภาคม 2561 (คอร์สสองวันต่อเนื่อง) ค่าอบรม THB 12,000

หลักสูตร HR College ที่สองนี้จะเน้นไปที่แนวคิดเบื้องหลังระบบงานบริหารทรัพยากรบุคคลต่างๆ และการออกแบบ รวมถึงวางนโยบายเกี่ยว กับการประเมินผลการปฎิบัติงานอย่างไร ให้ทั้งสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของบริษัท และกระตุ้นให้คนเกิดการพัฒนาตนเองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อผลักให้ HR กลายเป็นมือขวาของผู้บริหารที่แท้จริง กับเวิร์คชอบสองวันจากทางวิทยากรทั้งจาก เอเชียน ไอเดนติตี้ และที่ปรึกษาผู้ เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลจากประเทศญี่ปุ่น คุณโซวะค่ะ

เราหวังว่าการเรียนรู้นี้จะส่งผลให้องค์กรในไทยแข็งแกร่งด้วยการพัฒนาคนในองค์กรให้แข็งแกร่งขึ้นได้ไปด้วยกันค่ะ

สร้างภาวะผู้นําที่ทรงพลังจากความเป็นตัวคุณเอง – IDENTITY LEADERSHIP WORKSHOP (IDL)
อบรมวันพฤหัสถึงเสาร์ที่ 17-19 พฤษภาคม 2561 (คอร์สสามวันต่อเนื่อง) ค่าอบรม THB 28,000

ลองวางมือจากการก้มหน้ามุ่งทํางานตามเดทไลน์ แล้วกลับมาใช้เวลาอยู่กับตัวเองและทําความรู้จักกับความต้องการที่แท้จริงของตนเองให้ มากขึ้นในเวิร์คชอบสามวันนี้ เพื่อปลุกพลังความเป็นผู้นําจากแก่นความเป็นตัวตนที่แท้จริงจากภายใน โปรแกรมนี้ได้ออกแบบมาเป็นอย่างดี สําหรับผู้ประกอบการ ผู้จัดการ และผู้ที่ต้องการสร้างความแข็งแกร่งในความเป็นผู้นําของตนเองเพิ่มขึ้น โดยเวิร์คชอบนี้เราได้จัดขึ้นทุกปี และ ได้รับผลตอบรับที่ดีและท่วมท้นจากผู้เข้าร่วมมาโดยตลอด เราได้เสียงตอบรับจากผู้เข้าร่วมเป็นจํานวนมากที่ “วิสัยทัศน์ของชีวิตตนเอง” ที่ได้ สร้างขึ้นผ่านเวิร์คชอบนี้ได้ประสบผลสําเร็จขึ้นจริง และ “เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมากและลืมไม่ลงจริง ๆ ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ปีก็ตาม”

ถึงแม้วิทยากรของเราเป็นคนญี่ปุ่น เราได้จัดเตรียมล่ามมืออาชีพที่พร้อมถ่ายถอดทุกเนื้อหาและคําถามคําตอบเป็นภาษาไทยที่ชัดเจนและเข้า ถึงกับเนื้อหาไปด้วยกันกับวิทยากรหลัก ทําให้สามารถเข้าใจเนื้อหาและถกอภิปรายกับวิทยากรของเราได้อย่างลึกซึ้งค่ะ โดยอบรมรอบนี้เน้น ไปที่สําหรับคนไทยเท่านั้นค่ะ