HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.62 ทำไมการทำงานกับ Gen Z ถึงเป็นเรื่องยาก ? - วิธีการก้าวข้ามช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) – APR, 2025
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.62 ทำไมการทำงานกับ Gen Z ถึงเป็นเรื่องยาก ? - วิธีการก้าวข้ามช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) – APR, 2025

24 เม.ย..2025

ทำไมการทำงานกับ Gen Z ถึงเป็นเรื่องยาก ?
- วิธีการก้าวข้ามช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap)

 
 
ในปัจจุบัน เรามักได้ยินเสียงโอดครวญว่า “การทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคน Gen Z เป็นเรื่องยาก” เนื่องจากพวกเขามีวิธีการทำงาน ค่านิยม และสไตล์การสื่อสารที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ โดยสิ้นเชิง แล้วองค์กรควรจะรับมือกับช่องว่าง (Gap) เหล่านี้อย่างไรดี?
 

■ ช่องว่างระหว่างวัยที่เปลี่ยนไปจากเดิม
 
เดิมทีแล้ว ช่องว่างระหว่างวัย หรือ Generation Gap  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกยุคสมัย ว่ากันว่า แม้แต่ในภาพวาดฝาผนังของอียิปต์โบราณก็ยังมีการเล่าว่า “วัยรุ่นสมัยนี้เข้าใจยาก”

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ช่องว่างระหว่างวัยที่เรากำลังเผชิญในปัจจุบันนั้นมันกว้างกว่าในทุกยุคสมัยที่ผ่านมา และมีลักษณะเด่น 3 ข้อ ดังนี้

 
1. “การเปลี่ยนแปลงของต้นแบบ หรือ Role Model”

ในอดีต สิ่งที่มีอิทธิพลในการหล่อหลอมค่านิยมของคนเราคือ พ่อแม่ ครูอาจารย์ รุ่นพี่ที่ทำงาน หรือผู้นำประเทศและคนดังในประเทศ ทว่าปัจจุบันในยุคของโซเชียลมีเดีย ค่านิยมของคนรุ่นใหม่มักได้รับอิทธิพลมาจากโลกส่วนตัวของแต่ละคน เช่น ภาพยนตร์ สื่อโซเชียลมีเดีย หรือสื่ออื่น ๆ มากกว่าจากครูหรืออาจารย์ในโรงเรียน เช่น ผู้บริหารจากซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ดารา อินฟลูเอนเซอร์ ไอดอลเคป๊อป ดังนั้นคน Gen Z จึงกำลังสร้างค่านิยมด้วยแหล่งข้อมูลที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่คน Gen X และ Y เคยพบเจอโดยสิ้นเชิง

 
2. “ความรวดเร็ว หรือ speed”

ในยุคโซเชียลมีเดีย ผู้คนมักให้ความสำคัญกับความรวดเร็ว เดี๋ยวนี้คนเราดูละครด้วยความเร็ว 2 เท่า และเรตติ้งของวิดีโอที่มีความยาวเกินกว่า 10 นาทีก็ลดลง เพลงป๊อปก็ต้องเริ่มด้วยท่อนฮุคทันทีไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครฟัง อินโทรก็เลยโดนตัดออกไป การให้ความสำคัญกับความรวดเร็วแบบนี้เลยทำให้คน Gen Z มักมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถ “ค่อย ๆ ใช้เวลาอย่างใจเย็น” ได้

ในเรื่องงาน คนบางคนจึงไม่ค่อยสามารถโฟกัสกับงานที่ใช้เวลานานได้ และเกิดค่านิยมการทำงานที่ว่า “อยากโตไว ๆ” เพราะความแตกต่างด้านความเร็วนี้ จึงทำให้การทำงานกับคนต่างยุคสมัยหรือต่างเจนกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมา

 
3. “การกลับด้านของความสามารถ”

ในอดีต ผู้คนมักมองว่า คนที่สั่งสมประสบการณ์มายาวนานคือคนเก่ง และคนรุ่นใหม่ยังขาดประสบการณ์ ยังไม่พร้อม แต่ในปัจจุบัน หลายสายงานต้องใช้ทักษะด้านเทคโนโลยี สื่อโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งเอไอ (Artificial Intelligence: AI) เป็นหลักเลยทำให้แก็ปหรือช่องว่างที่ว่าคนรุ่นใหม่ยังขาดประสบการณ์นั้นถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มใช้อุปกรณ์ IT ในการเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยม การทำงานแบบอนาล็อกจึงเป็นการทำงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ในแวดวงการตลาดและการขาย การทำงานโดยใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดียก็กลายมาเป็นเรื่องจำเป็น ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนรุ่นใหม่อาจจะสร้างผลงานได้ดีในการทำงานบางประเภท หรือบางทีเราก็ต้องอาศัยไอเดียของคนรุ่นใหม่เพื่อพัฒนางานให้ทันสมัยมากขึ้น และขอบเขตประเภทงานที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่นั้นก็กำลังขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ

 
ความแตกต่างนี้แตกต่างจากช่องว่างระหว่างวัยในสมัยก่อนมาก และเราควรเผชิญหน้ารับมือกับมันอย่างจริงจัง เราต้องไม่ปล่อยให้บริษัทของเราล้าสมัยไปในระหว่างที่เราคิดอย่างสบายใจว่า “เดี๋ยวพอโตขึ้น ก็เข้าใจเองแหละ”

 


■ ช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) คือ “ความหลากหลายทางประสบการณ์”
 
จริง ๆ แล้ว ช่องว่าง (Gap) ที่พบเจอในที่ทำงานไม่ได้มีเพียงแค่ช่องว่างระหว่างวัยเพียงเท่านั้น แต่ช่องว่างในที่ทำงานนั้นยังรวมถึง “เพศ” “สัญชาติ” “ภาษา” หรือแม้กระทั่ง “ค่านิยมที่ต่างกัน” ด้วยเช่นกัน

 
แนวคิด “การบริหารความหลากหลาย หรือ Diversity Management” คือ แนวคิดที่องค์กรรับรู้และบริหารโดยคำนึงถึงความแตกต่างเหล่านี้ ซึ่งหลายองค์กรได้เริ่มลงมือจัดการเกี่ยวกับประเด็นนี้แล้ว หัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาความหลากหลายให้ได้ผลลัพธ์ คือ “ความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง” เช่น “คนญี่ปุ่นจะต้องรู้จักคนไทยให้ลึกซึ้ง และคนไทยเองก็ต้องรู้จักคนญี่ปุ่นให้ลึกซึ้ง” และต้องมี “การสร้างพื้นที่พูดคุย” เพื่อสร้างความเข้าใจนั้น

 
ช่องว่างระหว่างวัยก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความหลากหลาย และผมคิดว่าเป็นประเด็นด้านความหลากหลายที่ยากต่อการรับมือที่สุด
 
เพราะว่ารุ่นพี่ก็มีประสบการณ์ผ่าน “ช่วงวัยรุ่น” มาก่อน จึงอาจทำให้เผลอตัดสินโดยมีอคติหรือความคิดว่า “ก็ตอนนั้น ฉันทำแบบนี้” โดย “ไม่เปิดใจรับความแตกต่าง” ดังนั้น ช่องว่างระหว่างวัยจึงแตกต่างจากความหลากหลายด้านสัญชาติหรือเพศที่ไม่สามารถมีประสบการณ์โดยตรงร่วมกันได้
 
ผมเรียกความหลากหลายประเภทนี้ว่า “ความหลากหลายทางประสบการณ์” ซึ่งจะรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของช่วงชีวิตในแต่ละช่วง เช่น การมีลูก ความหลากหลายที่เกิดจากประสบการณ์ที่แตกต่างกันจะทำให้คนเรามีอคติที่คิดว่า “ก็ตอนนั้น ฉันทำแบบนี้” โดยไม่ทันได้คิดและตระหนักถึงความแตกต่างด้านยุคสมัย หรือบริบทการใช้ชีวิตที่ต่างกันของแต่ละคน

 

■ สิ่งที่พี่ ๆ วัยอื่นควรใส่ใจ
 

“การปรับตัวทั้งสองฝ่าย” เป็นพื้นฐานสำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องความหลากหลาย แต่ในกรณีปัญหาช่องว่างระหว่างวัย เนื่องจากฝ่ายหัวหน้าหรือรุ่นพี่นั้นมีอำนาจมากกว่า การเริ่มปรับตัวจากฝ่ายหัวหน้าหรือรุ่นพี่ก่อนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และผมอยากจะแนะนำสิ่งที่ควรใส่ใจในการปรับตัวไว้ ดังนี้

 
อันดับแรก การให้ความสำคัญกับ “ความหมายและเป้าหมายของงาน”

ในปัจจุบันการตัดสินว่า “อะไรคือสิ่งที่ถูก” เป็นสิ่งที่ยากขึ้น เช่น เมื่อก่อนอาจเคยเชื่อกันว่า การทำงานในบริษัทใหญ่และรายได้ดีเป็นเรื่องที่ถูก แต่ในปัจจุบันมีตัวเลือกในการประกอบอาชีพที่หลากหลายขึ้น หลายคนอาจมองว่า การทำงานเป็น Youtuber ทำให้ตัวเองมีความสุขมากกว่าการทำงานในบริษัทใหญ่ อีกทั้ง เรามักไม่ค่อยพูดถึงประเด็นอย่าง การทำงานในบริษัทนี้มีความหมายอย่างไรสำหรับคุณ? ความสนุกของงานนี้คืออะไรและมีคุณค่าอย่างไรบ้าง? จึงทำให้มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้บอกเล่าให้ผู้อื่นฟัง ผมเชื่อว่า ถ้ารุ่นพี่หรือหัวหน้าที่อยู่ใกล้ตัวได้เล่าถึงความหมายของงานที่ตนทำบ้าง ก็อาจจะทำให้น้อง ๆ ค้นพบความหมายในงานของตนเองขึ้นมาก็ได้

 
ถัดมาคือ การให้ความสำคัญกับ “เรื่องเวลา”

ในยุคสังคมที่ให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพด้านเวลา (Time Performance) ความคิดเกี่ยวกับเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพก็เร็วขึ้น ถ้าคุณดูแลรุ่นน้องด้วยแนวคิดที่ว่า “1-2 ปีแรก ให้เริ่มเรียนรู้จากงานจิปาถะก่อน” ก็อาจมีรุ่นน้องคิดว่า “ทำงานนี้แค่ 3 เดือนก็เบื่อแล้ว” และเกิดเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกันได้ ดังนั้น เราจำเป็นต้องอธิบายให้เขาเข้าใจเพื่อที่จะแก้ไขความเข้าใจที่ไม่ตรงกันนี้ ทำไมเราถึงอยากให้ทำตรงนี้ 1 ปี เราอยากให้เขาได้ประสบการณ์อะไร แล้วประสบการณ์นั้นจะพาเขาไปสู่สเตจถัดไปอย่างไร ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องจุกจิกแต่เราจำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนในการพัฒนาหรือเลี้ยงดูเขาที่อาจไม่เคยพูดถึงเลยให้ชัดเจนขึ้น สำหรับนโยบายด้าน HR ก็ควรที่จะกำหนดรายการขีดความสามารถ (Competency) ที่จำเป็นของแต่ละงานให้ชัดเจน เพื่อให้เจ้าตัวรู้ว่าตอนนี้อยู่จุดไหนและมองเห็นในเส้นทางการเติบโตของตนเองได้ชัดเจนขึ้น

 
กล่าวคือ ในยุคสมัยที่ผู้คนสามารถรับข่าวสารจากภายนอกบริษัทได้ตลอดเวลา เราก็จำเป็นที่จะต้องใส่ใจและอธิบายรายละเอียดในเรื่องที่เคยไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นนั่นเอง

 

■ สิ่งที่คน Gen Z ควรใส่ใจ
 

ในขณะเดียวกัน พี่ ๆ ก็มีเรื่องที่อยากจะให้คนเจน Z ใส่ใจเหมือนกัน นั่นคือ “อย่ามองแค่เรื่องการเติบโตระยะสั้นเท่านั้น”

 
ถ้าหากอยากเพิ่มเงินเดือน ก็ต้องพัฒนาศักยภาพ และการพัฒนาศักยภาพก็เหมือนกับการเล่นกีฬาที่ต้องอาศัย “เวลา” และ “ความท้าทาย” เป็นสิ่งสำคัญ นักฟุตบอลเองก็ต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวดยาวนานกว่าจะได้เป็นนักเตะแนวหน้า เช่นเดียวกับการทำงานที่ต้องฝึกฝนพัฒนา “ทักษะการรู้คิด หรือ Cognitive Skills” และ “ทักษะด้านการคิด หรือ Thinking Skills” อย่างต่อเนื่องเป็นประจำเช่นกัน

 
งานวิจัยที่ชื่อว่า “กฏ 10,000 ชั่วโมง” กล่าวไว้ว่า ผู้ที่เชี่ยวชาญทักษะใดทักษะหนึ่งจนถึงขั้นที่เรียกว่าอยู่ในระดับแนวหน้ามักจะใช้เวลาในการฝึกฝนตัวเองไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมง ถ้าคุณทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ ก็จะใช้เวลาประมาณ 5 ปีถึงจะครบ 10,000 ชั่วโมง และถึงแม้ว่าคุณจะทำงานล่วงเวลาและมีการฝึกฝนพัฒนาตนเองเพิ่มเติมก็ยังคงใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี

 
ในโลกของการทำงาน ทักษะของเราไม่ได้เกิดจากการลองทำเพียงแค่ครั้งหรือสองครั้ง แต่เกิดจากการลองผิดลองถูกในงาน การฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเรียนรู้เป็นทักษะติดตัว บางคนอาจพูดว่าทำงานมาแล้ว 1 ปี “ก็พอมีสกิลมากพอที่จะทำงานถัดไปได้แล้ว” ทว่าความจริงแล้วเราไม่อาจเชี่ยวชาญในงานนั้นได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ

 
แน่นอนว่าการโยกย้ายงานก็เป็นส่วนสำคัญในการเติบโตทางสายอาชีพ แต่ถ้าเราเปลี่ยนงานโดยที่เรายังไม่ได้ฝึกฝนทักษะนั้นจนเชี่ยวชาญแล้วล่ะก็ เราก็จะกลายเป็นคนที่มีอายุงานหรือตำแหน่งสูงทั้ง ๆ ที่ศักยภาพอาจจะยังไม่สูงตาม ทางฝั่งนายจ้างเองก็มองออกผ่านการพูดคุยได้เช่นกันว่า คน ๆ นี้มีของจริงหรือเปล่า คนเจน Z อาจจะต้องใส่ใจระลึกไว้ว่า การโยกย้ายงานอาจจะเพิ่มมูลค่าทางการตลาดหรือเงินเดือนของคุณให้สูงขึ้น แต่มันก็อาจจะทำให้มูลค่าทางการตลาดของคุณตกลงได้เช่นเดียวกัน

 
ถ้าหากคุณคิดว่า “ฉันไม่ได้เรียนรู้หรือพัฒนาตัวเองจากการทำงานที่นี่เลย” ให้ลองถามหัวหน้าหรือรุ่นพี่ก่อนว่า พวกเขาคิดว่าความสามารถของคุณในตอนนี้เป็นยังไง หรือลองของานที่มีความท้าทายมากขึ้น การกระทำเหล่านี้คือการพยายามเติบโตและพัฒนาตนเองให้ได้มากที่สุดภายในสภาพแวดล้อมปัจจุบันก่อนจะเข้าสู่สเตจถัดไป แนวคิดนี้จะช่วยให้คุณสามารถเติบโตในเส้นทางสายอาชีพของคุณได้ดียิ่งขึ้น


■ สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายพึงมีคือ “การสนับสนุนกันและกัน”
 
สุดท้ายนี้ Mindset หรือแนวคิดที่ผมอยากให้ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกันคือ ใจที่พร้อมเรียนรู้จากกันและกัน

 
อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้าว่า ช่องว่างระหว่างวัย คือ ความหลากหลาย ซึ่งเราสามารถใช้ความหลากหลายนี้มาผลักดันองค์กรได้ ถ้าหากทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันแล้วล่ะก็ ช่องว่างก็จะกลายเป็น “มิตร” ไม่ใช่ “ศัตรู” อีกต่อไป

 
รุ่นพี่ยุคก่อน ๆ จะต้องยอมรับว่าเด็กรุ่นใหม่ก็มีความสามารถเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเทคโนโลยี การเปิดใจเรียนรู้เทคนิคหรือรับฟังไอเดียใหม่ ๆ อย่างถ่อมตนจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถพัฒนาและสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

 
ในทางกลับกัน สิ่งที่รุ่นพี่ยุคก่อน ๆ มี แต่เด็กรุ่นใหม่ไม่มีคือประสบการณ์และเครือข่าย ถ้าคนรุ่นใหม่มีไอเดียอยากลองทำอะไร ก็ให้ลองพึ่งพา “ประสบการณ์” และ “เครือข่าย” ของรุ่นพี่ดู ผมเชื่อว่าถ้าลองเข้าไปปรึกษาดู ก็น่าจะมีรุ่นพี่หลายคนพร้อมให้ความช่วยเหลือด้วยความยินดีเลยแหละ

 
ผมเชื่อว่า การสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันจากทั้งสองฝ่ายเป็นทัศนคติที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาช่องว่างระหว่างวัย หรือ Generation Gap