Newsletter
จดหมายข่าวฉบับที่ 35 นี้ ขอเสนอเรื่อง “เคล็ดลับสำหรับการทำงานแบบ Work from Home” ครับ

เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัส Covid บริษัทหลายแห่งในประเทศไทยจึงให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน หรือ Work from Home
แต่การทำงานแบบ Work from Home ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนการทำงานตามปกติ วันนี้ผมจึงอยากจะแนะนำเคล็ดลับการทำงานแบบ Work from Home ขอให้ท่านลองทำดูสักข้อหนึ่งนะครับ เราจะผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน เคล็ดลับที่ว่านี้มีทั้งหมด 6 ข้อด้วยกัน ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการบริหารจัดการตนเอง (Self-management) และ การทำงานเป็นทีมเวิร์คครับ

การบริหารจัดการตนเอง
1. จัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน
เวลาอยู่ที่บ้าน เราอาจจะจดจ่อกับการทำงานได้ยาก เนื่องจากมีสิ่งรบกวนหลากหลาย ดังนั้นเราจึงควรปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน สมาธิจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราต้องอยู่ในท่าทางที่เหมาะสมก่อน ควรเลิกนั่งทำงานที่โซฟา หรือ ที่เตียง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจัดเตรียมโต๊ะ และ เก้าอี้ไว้ให้พร้อม เก้าอี้นั้น ไม่จำเป็นต้องเลือกแบบแพง ๆ นะครับ แต่ควรเป็นแบบบุนวมเพื่อที่เราจะได้สามารถนั่งได้นาน ๆ หลายชั่วโมง
สำหรับเสื้อผ้านั้น เวลาทำงานเราก็ไม่ควรใส่ชุดนอน หรือ ชุดลำลองในบ้าน ควรสวมเสื้อผ้าแบบที่เราสามารถออกไปพบเจอผู้คนข้างนอกได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นใส่สูท ทั้งนี้ การที่เราแต่งตัวให้พร้อมก็เหมือนกับการปรับตัวเองเข้าสู่โหมดการทำงาน
2. เริ่มงานในตอนเช้าอย่างเหมาะสม
ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ทำงานแบบ Work from Home ก็คือช่วงเช้าครับ ท่านเคยตื่นมาตอนเช้าแล้วก็ทำนู่นทำนี่อย่างไม่ค่อยมีสาระจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง หรือ บ่ายไหมครับ ถ้าจะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าว สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ วิธีการเริ่มงานในตอนเช้า อันดับแรกขอให้ทุกท่านกำหนดสิ่งที่จะทำเป็นกิจวัตรในตอนเช้าเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ก่อน อาจจะเป็นการยืดเส้นยืดสายในตอนเช้า หรือ การเปิดผ้าม่านก็ได้ ส่วนตัวผมเองนั้น แนะนำให้ใช้การจัดเตียงครับ แค่จัดเตียงให้เรียบร้อยในตอนเช้า ก็เหมือนกับเราปลุกตัวเองให้พร้อมรับวันใหม่
นอกจากนี้ หลายท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากจะเริ่มลงมือทำงาน เวลาที่รู้สึกแบบนี้ ขอให้ท่านลองทำงานง่าย ๆ อย่างหนึ่งให้สำเร็จดู อาจจะเป็นการตอบอีเมลสั้น ๆ หรือ เซ็นเอกสารก็ได้ การทำงานเล็ก ๆ ให้สำเร็จก่อนนั้น จะเป็นการสร้างกำลังใจ แรงจูงใจในการทำการนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเราลงมือปฏิบัติงาน
หลังจากนั้นก็ควรทำงานที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น การทำงานที่มีความซับซ้อนนี้เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Eat the Frog” คือการ เอาสิ่งที่เราไม่ค่อยชอบมาทำก่อน แต่งานที่ซับซ้อนนั้นก็มักจะไม่ค่อยคืบหน้า ในกรณีนี้ผมขอแนะนำให้แบ่งงานออกเป็นหลาย ๆ ส่วน แล้วค่อย ๆ ทำไป เช่น กำหนดว่าวันนี้จะทำให้ได้ 1 ใน 3 ส่วนก่อน ต่อให้วันนั้นเราทำเสร็จแค่ 1 ใน 3 ส่วน แต่เราก็จะรู้สึกสบายใจขึ้น และ มีแรงจูงใจในการทำงานส่วนที่เหลือหลังจากนั้น
3. วางแผนการทำงานในแต่ละวัน และ ต้องนัดคุยกับผู้อื่น
เราควรต้องกำหนดว่าในแต่ละวันเราจะทำอะไร ถ้าบริษัทของท่านใช้ Google Calendar หรือ Outlook ในการบริหารจัดการกำหนดการทำงานของแต่ละคน ท่านก็สามารถกรอกสิ่งที่ตนจะทำในแต่ละวันลงในนั้นได้ โดยระบุว่าจะทำอะไรตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง วิธีนี้จะช่วยให้เพื่อนร่วมงาน และ หัวหน้างานรู้ถึงความเป็นไปของท่านด้วย
นอกจากนี้ การทำงานคนเดียวตลอดทั้งวันนั้นก็เป็นวิธีที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ว่ากันว่าคนเรานั้นไม่สามารถจดจ่อกับอะไรอย่างหนึ่งได้เกิน 90 นาที ถ้าใช้เวลานานกว่านั้น ประสิทธิภาพของสิ่งที่กำลังทำจะเริ่มลดลง เราจึงควรพักสั้น ๆ ทุก ๆ 90 นาที หรือ จะนัดพูดคุยกับผู้อื่นสัก 2 – 3 ครั้งต่อวันเพื่อคงประสิทธิภาพการทำงานก็ได้ การพูดคุยกับผู้อื่นนั้น เป็นการกระตุ้นสมอง และ ช่วยยกระดับประสิทธิภาพของงานได้ แม้จะไม่มีหัวข้อที่ต้องการคุยเป็นพิเศษ ก็ควรเผื่อเวลาไว้เพื่อ “พูดคุยกันสัก 30 นาที” เนื่องจากวิธีนี้จะส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง

ทีมเวิร์ค
4. หมั่นสื่อสารกัน และ ทำให้อีกฝ่ายมองเห็นถึงข้อมูลที่มี
เวลาที่ทำงานแบบ Work from Home ขั้นตอนการสื่อสารข้อมูลนั้นจะยากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากการสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์ อีเมล หรือ LINE นั้น ผู้พูด และ ผู้ฟังมักจะขาดข้อมูล “ที่มองเห็นได้” ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสื่อสารที่สุด
ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรสื่อสารกันบ่อยครั้งยิ่งขึ้น เช่น การประชุมทีม จากที่เคยประชุมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็ลองปรับเปลี่ยนมาประชุมทุกเช้า ครั้งละ 15 นาทีแทน การประชุมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน วิธีการข้างต้นจะส่งผลให้ขั้นตอนการ Ho-Ren-So (การรายงาน การติดต่อ และ การปรึกษาหารือ) มีประสิทธิภาพมากขึ้นแม้จะทำงานแบบ Work from Home ก็ตาม
นอกจากนี้ก็ควรใช้ Meeting Website ให้ได้มากที่สุดเพื่อเพิ่มข้อมูลด้านการมองเห็นระหว่างสื่อสารกันด้วย ปัจจุบันมีเครื่องมือต่าง ๆ ที่เราสามารถใช้ได้ เช่น WebEx, Zoom และ Teams เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้ช่วยอำนวยความสะดวกสบายได้มาก นอกจากฟังเสียงของกันและกันแล้ว ผู้เข้าประชุมก็ควรเปิดวีดีโอด้วย การที่แต่ละฝ่ายเห็นหน้าเห็นตากันและกัน จะส่งผลให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพขึ้นอีกระดับ
5. ให้ความสำคัญกับการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ (การสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ)
ตามปกติ ถ้าทำงานกันที่ออฟฟิศ พนักงานจะมีปฏิสัมพันธ์กันในด้านที่ไม่เกี่ยวกับงานด้วย เช่น พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน หรือ ไปซื้อกาแฟด้วยกัน เป็นต้น ปฏิสัมพันธ์เหล่านี้เรียกได้ว่าเป็น “การสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ” ที่จริงแล้ว มันช่วยให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลาย และ ยังทำหน้าที่สร้างความเป็นทีมเวิร์คภายในองค์กรด้วย
พอทำงานแบบ Work from Home ปฏิสัมพันธ์เหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องสร้างมันขึ้นมาอย่างจงใจ เช่น เปิด Online Meeting Room ทิ้งไว้ตลอดเวลา ให้ห้องประชุมแห่งนี้เป็นแหล่ง “พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ” ซึ่งพนักงานสามารถเข้าออกได้ตามที่ต้องการ หรือ อาจจะเริ่มใช้เครื่องมือที่จะส่งผลให้พนักงานสามารถพูดคุยทักทายกันได้เสมอ เช่น Slack หรือ โปรแกรมแชทอื่น ๆ เป็นต้น การสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการนั้นมีความจำเป็น และ ไม่ใช่สิ่งที่สูญเปล่า เราควรทำความเข้าใจในประเด็นนี้ และ สร้างสรรค์สิ่งที่จะส่งผลให้พนักงานสามารถสื่อสารกันแบบไม่เป็นทางการขึ้นมาอย่างจงใจ
6. กำหนดกฎเกณฑ์พื้นฐานในการประชุม
เมื่อทำงานแบบ Work from Home ความสามารถในการบริหารจัดการการประชุมนั้นก็มีความสำคัญต่อการยกระดับประสิทธิภาพขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง เวลาที่จัดการประชุมแบบออนไลน์ เราควรกำหนดข้อตกลงด้านการประชุม หรือ ที่เรียกว่า “กฎเกณฑ์พื้นฐาน” อย่างชัดเจน ประเด็นที่ผมแนะนำนั้นมีดังนี้
・เรียกชื่อ: การเรียกชื่ออีกฝ่ายจะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น
・ตอนเริ่มประชุม ผู้ดำเนินการประชุมต้องขอให้ผู้เข้าประชุมแต่ละคนกล่าวข้อความสั้น ๆ: ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของการประชุม
・ตอบสนองอย่างชัดเจน (เล่นใหญ่): การสนทนาจะมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ถ้าผู้สนทนาตอบสนองกันและกัน
・ต้องเปิดวีดีโอเสมอ: ผู้เข้าร่วมประชุมประชุมทุกคนจะได้รู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมกับการประชุมในระดับใกล้เคียงกัน
・ปิดเสียงไมโครโฟน (Mute) เอาไว้ก่อน: ป้องกันเสียงรบกวนขณะประชุม
ผู้ดำเนินการประชุม (Facilitator) ควรประกาศกฎเกณฑ์เหล่านี้ในตอนต้นการประชุม การที่ผู้เข้าร่วมทุกคนประชุมกันโดยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ จะส่งผลให้การประชุมนั้นสร้างความกระฉับกระเฉงให้แก่ผู้เข้าร่วม และ ก่อให้เกิดประสิทธิผล
ประเด็นทั้ง 6 ข้างต้นนี้ คือ เคล็ดลับที่ผมอยากแนะนำให้แก่ทุกท่านครับ สุดท้ายนี้ ผมขอเสริมประเด็นที่ผมอยากให้ผู้บริหาร และ เจ้าหน้าที่ HR ตระหนักถึงครับ
พอให้พนักงานทำงานแบบ Work from Home ไม่ว่าจะห้ามใจอย่างไร ผู้บริหารก็มักจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจว่า “ลูกน้องของเรากำลังโดดงานอยู่หรือเปล่า” การมองโลก “ในแง่ร้าย” (การคิดว่ามนุษย์จะทำเรื่องร้าย) นั้น อาจจะเป็นการสร้างความรู้สึกไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันขึ้นภายในองค์กร และ ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของผู้คนในองค์กร
เราจึงควรให้ความสำคัญกับการมองโลก “ในแง่ดี” หรือ การมองว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ อย่ามองในแง่ร้าย กล่าวคือ การรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยพิจารณาอยู่เสมอว่า เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะเสียความสามารถในการจดจ่อ และ สมาธิกระเจิดกระเจิงเมื่อต้องทำงานที่บ้าน ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงจำเป็นต้องหาทางเพิ่มขั้นตอน Ho-Ren-So และ กำหนดกฎเกณฑ์อย่างละเอียด เป็นต้น
นอกจากนี้ ในกรณีที่จะให้พนักงานทำงานแบบ Work from Home ต่อเนื่องเป็นเวลานาน องค์กรก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระบบการทำงานขององค์กรด้วย องค์กรควรปรับเปลี่ยนนโยบายต่าง ๆ ในด้านการบริหารจัดการบุคลากร เช่น เปลี่ยนมาประเมินพนักงานโดยอ้างอิงจากเป้าหมายการทำงาน หรือ ผลลัพธ์ด้านการงาน ด้านการพัฒนาบุคลากร ก็ปรับปรุงให้ขั้นตอน OJT มีแบบแผนยิ่งขึ้น เป็นต้น ที่ผ่านมาขั้นตอนการงานเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อทำงานแบบ Work from Home องค์กรก็จำต้องออกแบบ และ ปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อให้เกิดขั้นตอนการทำงานข้างต้นอย่างจงใจ ผมอยากให้ทุกท่านตระหนักถึงประเด็นนี้ไปพร้อมกันด้วย
อย่างเช่นเคย ผมขอขอบคุณที่ท่านอ่านจดหมายข่าวฉบับนี้ครับ ทาง Asian Identity กำลังจะเปิดคอร์สอบรมแบบออนไลน์ เป็นคอร์สที่จะช่วยให้พนักงานแต่ละคนสามารถเรียนรู้งาน และ เติบโตร่วมกับองค์กรแม้จะทำงานแบบ Work from Home ก็ตาม พวกเราหวังว่าจะมีส่วนส่งเสริมให้ทุกท่านสามารถสร้างองค์กรซึ่งสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ตึงเครียด อันเนื่องมาจากเชื้อ Covid ได้ครับ
ท่านสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของ Asian Identity เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอร์สออนไลน์ได้เลยนะครับ
* ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ! คลิกที่นี่
* ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่น อ่านที่นี่
* ข้อเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรรูปแบบ In-house คลิกที่นี่
Credit:
Photo by Vadim Sherbakov from Unsplash
Photo by Erik Mclean from Unsplash
Photo by Andrea Piacquadio from Pexels
Photo by visuals on Unsplash

Katsuhiro Nakamura (Jack)
CEO & Founder, Asian Identity Co., Ltd.
ดำเนินกิจการบริษัท Asian Identity องค์กรให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งมีความชำนาญงานในภูมิภาคเอเชีย และ มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้น ดำรงตำแหน่งปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์ทำงานที่บริษัท Nestlé บริษัท Link and Motivation และ บริษัท GLOBIS ปัจจุบันรับผิดชอบงานด้านการให้คำปรึกษา และ จัดอบรมในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยมีสำนักงานในประเทศไทย ระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพ ยังได้เขียน และ จำหน่ายหนังสือ “สู้สู้ PIM! (Su Su Pim!)” การ์ตูนให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจสำหรับชาวไทยด้วย
– Certified Facilitator of LEGO® SERIOUS PLAY®
– Completed ORSC™ – Organization and Relationship System Coaching Practical Application Course
– Certified Facilitator of Hofstede Insight Organizational Culture (วัฒนธรรมองค์กร)
– CoachingOurselves Facilitator
24 มิ.ย., 2018
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.15 บริหารหนุ่มสาว Millennials อย่างไรถึงจะดี
04 พ.ย., 2019
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.30 ความรู้ด้าน “จิตวิทยาสังคม” ที่เป็นประโยชน์ต่อ HR (ตอนที่ 2)
26 มี.ค., 2021
Newsletter AI NEWSLETTER Vol.46 “โบนัสช่วยยกระดับแรงจูงใจในการทำงานหรือไม่ – แรงจูงใจซึ่งเกิดจากสิ่งเร้าภายในและสิ่งเร้าภายนอก”