HR Blog
เร็ว ๆ นี้ได้มีโอกาสไปจัดเวิร์คชอปให้พี่ ๆ จากหลาย ๆ หน้างาน เกี่ยวกับการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ในเวิร์คชอปจะมีการเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้แบ่งปันประสบการณ์ปัญหาจากการสื่อสารที่พบบ่อย หรือยังหาทางแก้ไม่ได้ของตนเอง เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน
พบว่ามีหลายเคสเลยทีเดียวที่เจอปัญหาเรื่องการใช้อารมณ์ในการสื่อสาร ไม่สามารถคุมอารมณ์ตัวเองได้ สื่อสารด้วยอารมณ์เป็นที่ตั้ง และคิดว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงเจอปัญหานี้ด้วยกันบ้างไม่มากก็น้อย แล้วอาจจะปวดหัวกับมันไม่แพ้ผู้เขียนก็เป็นได้ เลยอยากจะมาชวนคุยเรื่องนี้กัน เรื่องการเผลอใช้อารมณ์ในการพูดคุยกับผู้อื่นค่ะ
ก่อนอื่นเลย ขอสร้างข้อตกลงกับผู้อ่านทุกท่านก่อนนะคะว่า การที่เราจะเผลออารมณ์ขึ้น เวลาคุยกับใครสักคน เมื่อเผชิญเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ คนนะไม่ใช่ก้อนหิน ที่จะเจอเหตุการณ์อะไรมากระทบแล้วนิ่งได้ทุกสถานการณ์
ดังนั้น เลยอยากขอให้มองก่อนว่า มันไม่ผิดนะ และไม่แปลกด้วยที่อยู่ ๆ จะเกิดอารมณ์ปรี๊ดขึ้นมาเวลาพูดคุยกับใครสักคนในเหตุการณ์หนึ่ง ๆ แต่เมื่ออารมณ์ขึ้นมาแล้ว จะทำอย่างไรมากกว่าที่สำคัญที่สุด เราเลือกได้ค่ะ ว่าเราจะสื่อสารด้วยอารมณ์นั้น ๆ ออกไปเลย หรือเลือกที่จะจัดการกับมันก่อนที่สื่อสารออกไป คำถามคือ ถ้าเราเลือกที่จะจัดการกับมัน เราจัดการกับอารมณ์ของตัวเองอย่างไรได้บ้าง ก่อนที่อ้าปากพูด หรือสื่อสารอะไรออกไป
ทำยังไงไม่ให้เราเผลอสื่อสารโดยใช้อารมณ์ หรือเผลอมีอารมณ์โกรธฉุนเฉียว เหวี่ยง เวลาสื่อสารออกไป มีเทคนิคเล็ก ๆ สองอย่างค่ะ อยากมาลองแบ่งปันกันดูค่ะ
เทคนิคแรกคือ ลองส่องกระจกดูก่อนที่ไปสื่อสาร ไม่ว่าทางอีเมล์ โทรศัพท์ หรือกำลังจะพูดคุยต่อหน้าคู่สนทนาของเราก็ตาม
เวลาเรามีอารมณ์ขึ้นมา แล้วคุมไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นโกรธ ผิดหวัง ดีใจ หรืออารมณ์ที่ชัดเจนใด ๆสิ่งแรกที่มันจะออกมาคือทางใบหน้าของเรานี่แหล่ะค่ะ ลองใช้กระจกส่องดูก่อนว่า เฮ้ย ตอนนี้เราอยู่ในอารมณ์ไหน เราพร้อมที่จะพูดคุยกับอีกฝ่ายแล้วหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นการคุยเพื่อติชม หว่านล้อม ประนีประนอม เราอยู่ในสภาวะที่รับรู้อารมณ์ตัวเองตอนนั้นหรือไม่
ส่องกระจกจะทำให้เรารับรู้มันได้ง่ายที่สุด มีสติกับอารมณ์ของคุณเอง แล้วจากนั้น สูดหายใจเข้าลึก ๆ สักสองสามอึก ดึงสติของคุณกลับมาให้รับรู้ถึงจุดที่คุณอยู่ปัจจุบัน สติของคุณต่ออารมณ์ของคุณเองนี่แหล่ะจะช่วยควบคุณอารมณ์ของคุณเอง มันจะบอกคุณได้ว่าคุณอยากให้การสื่อสารมันออกมาเป็นแบบไหน
ไม่จำเป็นต้องไปบังคับใจให้ว่า ต้องไม่โกรธ ๆๆๆๆๆ นะคะ เพราะอันนั้นยากที่สุด และจะยิ่งทำให้อารมณ์ระเบิดออกมามากกว่าเดิม กลับกัน ถ้าขอแค่ส่องกระจก และมีสติรับรู้ได้ว่า สภาวะอารมณ์คุณเป็นแบบไหน ถ้าคุณสามารถบอกตัวเองได้ว่า คุณกำลังโกรธอยู่นะ เศร้าอยู่นะ นอยด์อยู่นะ เท่านี้คุณก็สามารถควบคุมอารมณ์ของคุณด้วยการรับรู้ได้ระดับหนึ่งแล้วค่ะ อยู่กับกระจกข้างหน้าตัวเองสักพัก แล้วค่อยเริ่มเข้าสู่บทสนทนาค่ะ
(แถมค่ะ เทคนิคการใช้กระจกนี้ เป็นเทคนิคทั่วไปที่พนักงานคอลเซนเตอร์ใช้กันด้วยนะคะ เวลาที่ต้องรับโทรศัพท์ลูกค้าที่กำลังเหวี่ยง โกรธเกรี้ยว ทำอย่างไรให้เราใจเย็นและจัดการปัญหาในสายได้โดยไม่ให้อารมณ์เราทำเรื่องให้แย่ลงกว่าเดิม พนักงานจะได้รับการฝึกฝนให้มองกระจกเพื่อเช็คตัวเองตลอดเวลา และยิ้มตอบให้กับกระจก เพราะเมื่อหน้าเรายิ้ม เสียงเราจะเย็นลง และเสียงเราก็จะยิ้มตามใบหน้าของเราด้วยค่ะ)
เทคนิคที่สอง คือ บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ไปตรง ๆ ค่ะ
ขั้นถัดมา หลังจากที่รับรู้ความรู้สึกของตนเองได้แล้ว คราวนี้ ลองบอกความรู้สึกตัวเองออกมาแบบตรงไปตรงมาให้อีกฝั่งได้รับทราบ คำว่าตรงไปตรงมาไม่ได้แปลว่าขวานผ่าซากนะคะ แต่คือการรับรู้ความรู้สึก และสะท้อนออกไปเหมือนกระจกให้อีกฝั่งรับรู้ โดยที่ไม่ตัดสินตัวเองว่าถูก ผิด เหนือกว่า ต่ำกว่า อีกฝ่าย
เป็นการแชร์สภาพการณ์ของตนเองให้อีกฝ่ายได้รับทราบ เมื่อเราบอกความรู้สึกเราออกไป ว่าเรากังวลเรื่องที่คุณผลัดเดดไลน์เรามานานแล้วนะ ไม่จัดการเรื่องนี้ให้สักที ตอนนี้เรารู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว เรารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมามาก ๆ ที่เห็นคุณมาทำงานสายเกือบทุกวันติดต่อกันเกินหนึ่งเดือนแล้ว จากเดิมที่คุณไม่เคยเข้างานสายมาก่อนเลย
การที่พยายามจัดการตัวเองให้สื่อสารอารมณ์ของเราออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ ใจเราจะเย็นลงเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ออกมาเป็นคำพูดเพื่อสื่อสาร อาการโกรธจริง ๆ คืออาการที่ตัวเราอัดอั้นมาก ๆ จากอารมณ์โกรธไม่ให้ระเบิดออกมา แต่เมื่ออัดอั้นไม่ไหว แล้วปะทุออกมา ทำให้เกิดคำผรุสวาท คำด่า คำเหวี่ยงมากมายตามมาจากเขื่อนล้น
แต่กลับกัน ถ้าเราสามารถบอกอารมณ์โกรธเราออกมาได้ เหมือนเปิดประตูเขื่อนควบคุมให้มีการระบายน้ำออกมา เท่านี้ แรงดันน้ำในเขื่อนก็จะลดลง และทำให้เรามีสติกับคำพูดของเราเองมากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายรับรู้และเข้าใจ ตัวเราเองก็จะค่อย ๆ สงบลงได้เองค่ะ (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ลองดูความพร้อมรับของอีกฝ่ายด้วยนะคะ 555 เรื่องนี้เราจะมาชวนพูดคุยกันในคราวหน้าถัดไปค่ะ)
การจัดการอารมณ์ของตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากอยู่นะคะ แต่ไม่ได้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และไม่ได้หมายความว่าคนเงียบ หรือคนใจเย็นจะจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่าคนเสียงดัง คนใจร้อน แต่ละคนมีเขื่อนของตัวเอง มีวิธีการระบายของตนเอง คนใจเย็นอาจจะเขื่อนใหญ่หน่อย แต่ระเบิดทีตู้มต้ามกว่าคนใจร้อนก็ได้ หากไม่เช็คระดับน้ำ ความดันน้ำตัวเองเพียงพอ
เปิดประตูระบายน้ำเพื่อลดความดันน้ำของตัวเองบ้าง เพื่อลดความเครียดที่สุมอยู่ข้างใน ไม่ใช่แค่กับคนไกลตัว กับคนใกล้ตัว เช่น ทีมที่ทำงานด้วยกันทุกคน หรือคนในครอบครัว ก็สำคัญเช่นกันค่ะ
หากผู้อ่านเคยมีความกังวลเรื่องการควบคุมหรือจัดการอารมณ์ของตนเอง อยากให้ลองมาจัดการอารมณ์ด้วยการรับรู้ และลองสื่อสารออกไปดูนะคะ ได้ผลอย่างไรบ้าง มาเล่าสู่กันฟังเพื่อช่วย ๆ กันจัดการตนเองให้สื่อสารกันอย่างสุขภาพดีกันค่ะ
——————-
> Subscribe เพื่อติดตามข่าวสารน่าสนใจ และบทความแนะนำที่คนทำงานไม่ควรพลาด:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/subscribe
> ติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือคุยกับที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล:
https://asian-identity.com/hr-egg-th/contact
Credit: รูปถ่ายโดย Min An จากเว็บ Pexels
[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]
31 ส.ค., 2021
HR Blog ประโยชน์ของ Breakout Room ในการประชุมออนไลน์
15 ธ.ค., 2023
HR Blog Please Mind the Gap between… — On Generations Z
02 พ.ค., 2020
HR Blog ‘ไม่อยากทำอะไรเลย’ ความรู้สึกนี้มาจากไหนเวลา Work from Home