HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.10 อะไร คือ Leadership ที่แท้จริง – JANUARY , 2018
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.10 อะไร คือ Leadership ที่แท้จริง – JANUARY , 2018

24 ก.ค..2019

เข้าปี 2018 แล้วนะครับ ชีวิตคนเรานั้นมีสิ่งที่เรียกว่า “จุดเปลี่ยนแปลง” มากมาย เช่น เรียนจบ แต่งงาน คลอดลูก ย้ายบ้าน เป็นต้น เราอาจจะ เรียกเหตุการณ์ หรือ จุดปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้ ได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ “เราจะได้ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนเป็นคนใหม่” เวลาของคนเรานั้นเดินไปเรื่อย ๆ แม้เราจะอยู่เฉย ๆ แต่การสามารถมองเห็นช่วงเวลาเป็นห้วงดังที่กล่าวข้างต้น จะทําให้คนเราเติบโตไปข้างหน้าได้ นี่คืออัจฉริยภาพอย่าง หนึ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้น

ช่วงปีใหม่ก็ถือเป็น “จุดเปล่ียนแปลง” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ปีก็ว่าได้ คงมีหลายท่านที่ตั้งเป้าหมายการทํางาน หรือ ตั้งเป้าหมายในการ พัฒนาตนเอง ปีใหม่เป็นดั่งโอกาสที่เราจะปรับเปลี่ยนตนเองได้ด้วย ผมคิดว่าท่านที่อ่านจดหมายข่าวนี้ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในตําแหน่งงานที่ได้ใช้ ความสามารถด้านการเป็นผู้นํา คราวนี้ ผมจึงขอนําเรื่อง Leadership มาพูดคุยกันครับ

อะไร คือ Leadership ที่แท้จริง

สิ่งท่ีเรามักเข้าใจผิดเก่ียวกับ LEADERSHIP
คนเรามักมองว่า “Leadership = การชักจูงผู้คน” ซ่ึงไม่ใช่ส่ิงที่ผิด แต่ว่ามนุษย์เราน้ันไม่ใช่สิ่งที่สามารถชักจูงไปได้ แม้ว่าเรา “อยากจะชักจูง” ก็ตาม ในทางกลับกัน บางคร้ังยิ่งเราพยายามชักจูงด้วยวิธีต่าง ๆ นานามากเท่าไร บุคคลน้ันก็จะยิ่งตีตัวออกห่างเสียด้วยซํ้า

ทั้งนี้เป็นเพราะว่า มนุษย์แต่ละคนมีเจตนารมณ์ที่ต่างกันไป มีคํากล่าวที่ว่า “เราสามารถจูงม้าไปที่ริมนํ้าได้ แต่ไม่สามารถทําให้ม้าดื่มนํ้าได้” กล่าวคือท้ายที่สุดแล้ว เราไม่สามารถขับเคล่ือนผู้คนโดยที่เขาไม่เต็มใจได้ บางคนต้ังใจจะขับเคลื่อนผู้คน จึงใช้อารมณ์บ้าง ใช้คําพูดแรง ๆ หรือใช้การทําโทษ แต่วิธีเหล่านี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และจะส่งผลให้ผู้คนพยายามตีตัวออกห่างไปอีก ถ้าเช่นนั้นแล้วเราควรทําอย่างไรดี ผู้คนจึง จะปฏิบัติตาม “โดยสมัครใจ”

Leadership นั้น มี 2 ระดับ คือ Lead the Self และ Lead the People แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่า เราจําเป็นต้องเป็นผู้นําตนเองให้ได้ก่อนที่จะ เป็นผู้นําผู้อ่ืน กล่าวคือการเป็นผู้นําตนเองด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้านั้น เมื่อผู้อื่นเห็นสิ่งที่บุคคลดังกล่าวกระทํา สุดท้ายผู้คนเหล่านั้นก็จะ “อยากติดตามไปด้วย” และจริง ๆ แล้ว ประเด็นนี้คือเงื่อนไขแรกสุดของคนที่เป็นผู้นํา ที่ทําหน้าที่ขับเคล่ือนผู้อ่ืนเลยครับ

ในปี 2014 คุณมาลาลา ชาวปากีสถานได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพโดยที่เธอเป็นผู้ได้รับรางวัลที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะ นั้นเธอเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 17 ปี ปัจจุบันเธอเป็นบุคคลสําคัญคนหนึ่งซึ่งเป็น Leader ผู้ได้รับความเคารพจากทั่วโลก เธอยืนหยัดจะสร้าง โลกที่ผู้คนได้รับการศึกษาอย่างไม่มีข้อจํากัดทางเพศ แม้เคยถูกผู้ก่อการร้ายข่มขู่เอาชีวิตแต่เธอก็ไม่ย่อท้อและยังคงยืนหยัดเรียกร้องสิทธิ การได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน เธอกล่าวไว้ว่า “ฉันมีทางเลือกสองทาง ถูกฆ่าตายเพราะเงียบเฉย หรือ ถูกฆ่าตายเพราะออกความเห็น ถ้าเป็นเช่นนี้ ฉันขอเลือกตายเพราะออกความเห็น” การที่เธอมุ่งมั่นยืนหยัดจะทําความฝันให้เป็นจริงโดยไม่เกรงกลัวภยันตรายนั้นทําให้ผู้คน ทั้งหลายรู้สึกกล้าหาญ และได้รับการจุดประกาย

สาระสําคัญของเหตุการณ์นี้ คือ การท่ีเธอไม่ได้ต้ังใจจะขับเคลื่อนผู้ใด ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นผู้นําใคร เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ บุคคล สําคัญที่ได้รับขนานนามว่ามี Leadership อันยิ่งใหญ่ เช่น มาร์ติน ลูเทอร์ คิง หรือ มหาตมะ คานธี น้ันต่างก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน การที่มี ความตั้งใจอันแรงกล้าท่ีจะทําฝันให้เป็นจริงนั้นมันทําให้ผู้คนประทับใจไดด้้วยตัวของมันเองการ“LeadtheSelf(นําพาตนเอง)”น่ีแหละคือ แก่นสารของ Leadership

วิสัยทัศน์ และความเชื่อใจ
ลองพิจารณากันต่ออีกสักนิดนะครับ ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นองค์ประกอบของ Leadership อันดับแรก คือ ความสําคัญของ “วิสัยทัศน์”

Leader ผู้ยิ่งใหญ่ก็มีวิสัยทัศน์อย่างไม่มีข้อยกเว้น วิสัยทัศน์ คือ ภาพฉากที่ยังไม่เกิด ขึ้น คุณมาลาลาเล่าถึงโลกที่ทุกคนได้รับการศึกษาเท่าเทียมกันโดยไม่จํากัดเพศ มาร์ ติน ลูเทอร์ คิงเล่าถึงสังคมที่ไม่มีการเหยียดผิว ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของพวกเขา W. Bennis ปรมาจารย์ด้าน Leadership ชื่อดังใช้คําว่า “Inner Voice (เสียงจากภายใน) ในหนังสือชื่อ “On Becoming Leader” ที่เขาเขียน การฟังเสียงหัวใจของตน แล้ ว ทําให้ทุกคนเห็น “ภาพที่ยังไม่เกิดขึ้น” เปรียบได้ดั่งวิสัยทัศน์ที่เหล่า Leader วาดฝัน และอีกอย่างที่สําคัญก็คือ วิสัยทัศน์นั้นคือสิ่งที่ “เป็นไปเพื่อทุกคน” ไม่ตั้งอยู่บนหลัก แห่งการเห็นแก่ตนเองครับ วิสัยทัศน์ที่เป็นไปเพื่อการพัฒนาองค์กร หรือสังคมนั้น เป็นที่เข้าใจ และได้รับความเห็นใจจากผู้คน

ไม่เพียงแค่บุคคลเลื่องชื่อที่ได้รับรางวัลโนเบลเท่านั้นที่มีวิสัยทัศน์ บุคคลที่มีวิสัยทัศน์ มีอยู่รอบตัวพวกเราครับ ในบริษัทของคุณมีใครที่พูดว่า “อยากจะพัฒนาบริษัท” อย่างกระตือรือร้น หรือมีใครที่พูดถึงเทคโนโลยีหรือสินค้าซึ้งไม่มีที่ติที่เขาฝันเอาไว้ บ้างหรือไม่ครับ

บุคคลเหล่านี้มีพลังต่อคนรอบข้าง และเราสามารถมีความสามารถนี้ได้โดยไม่เกี่ยวว่า จะอยู่ในตําแหน่งงานใด แม้พนักงานรุ่นใหม่ก็สามารถที่จะแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจและ จุดประกายคนรอบข้างได้ ถ้าคุณมีความฝัน และความกระตือรือร้นอยู่แล้ว การ สื่อสารสิ่งเหล่านี้ด้วยคําพูดอย่างหนักแน่นจะกลายเป็นจุดกําเนิดของ Leadership ของตัวคุณเอง

สิ่งสําคัญอีกประการ คือ ความเชื่อใจ ถ้ามีวิสัยทัศน์แต่ไม่น่าเชื่อใจ ก็ไม่สามารถชักจูง ผู้คนได้ ความเชื่อใจเป็นคําที่เรามักได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ทว่าเราจะสร้างความเชื่อใจได้ อย่างไร

ความเชื่อใจนั้นมองได้สองมุมมอง คือ “เชื่อใจ” และ “ได้รับความเชื่อใจ” สิ่งที่สําคัญ ที่สุด คือ การที่ประเด็นทั้งสอง “เกิดขึ้นพร้อมกัน” กล่าวคือ เวลาที่คุณรู้สึกว่าคุณ “ไม่ได้รับความเชื่อใจ” จากใครบางคน ตัวคุณเองก็ “ไม่เชื่อใจ” เขาด้วยเช่นเดียวกัน สิ่งนี้จะกลายเป็นห่วงโซ่แห่งความเลวร้าย ทําให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเชื่อใจซึ่งกันและ กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้คุณคิดว่า “อยากให้อีกฝ่ายเชื่อใจเราให้มากกว่านี้” แต่ตราบ ใดที่คุณไม่เชื่อใจอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไม่เชื่อใจคุณเช่นเดียวกัน ลองนึกถึงตอนสามี ภรรยา หรือคู่รักทะเลาะกันดูอาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะครับ ถ้าทั้งสองฝ่ายเอาแต่กล่าว โทษกันว่า “เป็นความผิดของอีกฝ่าย” สถานการณ์ก็จะเป็นอย่างเดิมไม่มีอะไรดีขึ้น แน่นอน

หากจะทําลายห่วงโซ่แห่งความไม่เชื่อใจ อันดับแรกตัวเราเองต้องทําสิ่งที่แสดงให้เห็น ว่าเราเชื่อใจอีกฝ่าย “ก่อน” นี่คือทัศคติที่ Leader ควรจะมีครับ กล่าวคือการหา โอกาสสื่อสารกับอีกฝ่าย เล่าถึงความเห็นของตนอย่างซื่อตรง และพยายามสร้าง ความเชื่อใจระหว่างกัน การพยายามรับฟังความเห็นของอีกฝ่าย และยอมรับอีกฝ่าย คือทัศนคติที่เราจําเป็นต้องมี Leader ที่สามารถขับเคลื่อนผู้คนได้นั้นมองว่าอีกฝ่าย เป็นคนในครอบครัว และปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความรักอยู่เสมอ เพราะพวกเขารู้ ว่าการกล่าวหาอีกฝ่าย และการใช้อารมณ์ไม่ช่วยแก้ปัญหาครับ

ความเชื่อใจระหว่างคนไทย และคนญี่ปุ่นนั้นมีข้อจํากัดด้านภาษามาเป็นอุปสรรคอยู่ เสมอ การจับเข่าคุยกันอย่างจริงจังเมื่อเกิดการปะทะนั้นต้องใช้ความพยายาม มากกว่าเดิมหลายเท่าตัวเนื่องด้วยข้อจํากัดด้านภาษา ทั้งนี้เราสามารถทุ่มเทสื่อสาร อย่างจริงจังโดยไม่หลีกหนีหรือไม่ คําตอบที่ได้นั้นส่งผลที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ

COMMITMENT = ความพยายามทุ่มเทเต็ม “100%”
สิ่งสําคัญประการสุดท้าย คือ Commitment หรือ พันธสัญญา กล่าวคือความสามารถในการปฏิบัติจนลุล่วงด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้า ระยะ หลังมานี้ บางท่านอาจใช้คําว่า Grit (ความสามารถในการปฏิบัติจนลุล่วง) หรือ S. Ghoshal นักวิจัยด้าน Leadership ชื่อดังก็ใช้คําว่า “Willpower”

ผมตีความว่า Commitment คือ “การทุ่มเทเต็ม 100%” ครับ Leader นั้นก้าวเดินอย่างต่อเนื่องไปสู่ภาพฉากที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นธรรมดาที่ จะพบเจออุปสรรคระหว่างทาง แต่ Leader จะทําทุกสิ่งที่ทําได้อย่างเต็มที่โดยไม่ย่อท้อ ถ้าตกอยู่ท่ามกลางปัญหาแล้วเอาแต่บ่น กล่าวโทษผู้ อื่น ละเลยหน้าที่ของตน ก็จะไม่สามารถชักจูงผู้คนได้ นอกจากนี้ “การไม่ได้ทุ่มเทเต็ม 100%” คือสิ่งที่ตัวเราเองรู้ดีที่สุดอยู่แล้ว หากเราคุ้นชิน กับการไม่ทุ่มเทเต็ม 100% เราจะค่อยๆขาดความมั่นใจในตนเอง และตัวเราจะไม่พัฒนา

นอกจากนี้ ผมอยากให้ทุกท่านตระหนักว่า “ทุ่มเทเต็ม 100%” และ “ยุ่งวุ่นวาย” นั้นต่างกันครับ Ghoshal ที่กล่าวถึงข้างต้นใช้คําว่า “Active Non-action (ยุ่งอย่างไร้ประโยชน์)” ถ้าเราทําในสิ่งที่ตนอยากจะทําจริงๆ คนเราจะไม่รู้สึกว่ากําลังยุ่ง แม้มองผิวเผินแล้วอาจจะดูเหมือนว่ายุ่ง อยู่ก็ตาม กล่าวคือ การที่คนเรารู้สึกว่า “ยุ่ง” นั้นเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าตนควรทําอะไร หรือไม่ได้ทุ่มเทเต็มที่ในสิ่งที่ควรทํา

สุดท้ายนี้
ผมมีบุคคลอันเป็นท่ีเคารพซึ่งบางคร้ังจะขอคําช้ีแนะจากเขา เขาเป็นอาจารย์ฝึกอบรมผู้เช่ียวชาญซ่ึงจัดการฝึกอบรมมากเกือบ 30 ปีแล้ว และ อายุเกือบ 70 ปีแล้วครับ

นับจนถึงปัจจุบันนี้ เขาจัดอบรมมามากกว่า 1,000 ครั้ง แม้จะสั่งสมประสบการณ์มามากขนาดนี้แล้ว แต่เขาบอกกับผมว่า “ทุกครั้งจะตื่นเต้น จนนอนไม่หลับ” “บอกกับตัวเองเสมอว่าจะต้องทําอย่างเต็มที่” ตามปกติแล้วถ้าคนเราทําส่ิงเดิมๆมากว่า 1,000 ครั้ง เป็นธรรมดาที่มนุษย์ ทั่วไปจะชินกับระบบงานและทํางานแบบขอไปที

เขาไม่ทําเช่นน้ัน แต่กลับทุ่มเทแรงกายแรงใจ 100% เสมอ ส่ิงนี้ทําให้ผู้คนประทับใจ และส่งผลให้ทําผลงานได้ดี เมื่อได้คุยกับเขา ผมก็เข้าใจได้ เป็นอย่างดี ผมเองก็ทํางานด้านการฝึกอบรมอยู่บ่อยครั้ง ผมพยายามถามตัวเองอยู่เสมอว่าได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็ม 100% ทุกครั้งหรือ ไม่ อันดับแรกลองถามตัวเองดูครับว่า หนึ่งวันนี้เราทุ่มเทเต็มที่แล้วหรือยัง ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ทุกท่าลองย้อนพิจารณาตนเองเช่นนี้ดูครับ

ในปีน้ี พวกเราทุกคนก็ขอจัดส่ง Newsletter เหล่าน้ีไปยังทุกท่าน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านครับ และขอฝากเนื้อฝากตัวในปีใหม่นี้ด้วย นะครับ

มุมพูดคุยกับทีม Asian Identity

อยากให้ทีม Asian Identity แนะนําหนังสือ อ่านที่น่าสนใจสําหรับผู้ที่ทํางานด้านการ บริหารจัดการหน่อยครับ
Thinking Fast and Slow
By Daniel Kahneman

ทําไมบางครั้งมนุษย์เราถึงคิด และตัดสินใจตาม อารมณ์ แล้วเราควรทําอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยง การตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ได้ หนังสือเล่มนี้เข้า มาจับเข่าคุยและวิเคราะห์ถึงเรื่องนี้ให้เข้าใจได้ง่าย ขึ้นค่ะ

ตําแหน่งผู้บริหารจัดการนั้นเป็นตําแหน่งงานที่ ยากมาก ต้องตัดสินเรื่องสําคัญโดยควบคุม อารมณ์ของตนให้ได้ หากเราสามารถเข้าใจว่า ระบบความคิดของตนนั้นเป็นอย่างไร ก็จะ สามารถแก้ไขวิธีคิดแบบเดิมที่ติดเป็นนิสัย หรือ แนวโน้มการคิดแบบเดิม ๆ ได้

ซึ่งหนังสือเล่มนี้อธิบายถึงประเด็นนี้ได้ดีและน่า สนใจมาก ๆ ทางเราจึงอยากจะแนะนําให้แก่ทุก ท่านที่ดูแลงานด้านการบริหารจัดการได้ลอง อ่านดูค่ะ

ทีมบ.ก.จดหมายข่าว AI อยากทําความรู้จักและ พูดคุยกับผู้อ่านทุกท่านมากขึ้น เราจึงได้เปิดมุม พูดคุยกับทีม AI มุมใหม่ขึ้นมา เพื่ อเป็นพื้นที่ใน การตอบคําถามจากผู้อ่าน หรือเปิดให้้ผู้อ่าน สามารถส่งเรื่องราวหรือความเห็นเกี่ยวกับ HR&HRD เข้ามาแชร์กันค่ะ :)
 #แอบรอเธออยู่นะจ๊ะอยากให้เธอนั้นรู้มากเลย

พบกับ AI College หลักสูตรใหม่ การสื่อสารและทํางาน
ร่วมกันระหว่างคนไทยและคนญี่ปุ่น 21 กุมภาพันธ์น

ทีม Asian Identity ได้เปิดคอร์สใหม่รับปี 2018 กับ Cross-Cultural Communication Workshop ลงลึกไปกับการจัดการทีม (และตัวเอง) ในการทํางานกับคนที่แตกต่างกัน ไม่ว่าในเรื่องของภาษา วัฒนธรรมวิธีการคิดและการทํางาน โดยคอร์สใหม่นี้เปิดเป็น Public Workshop สําหรับผู้สนใจทั่วไป จัดอบรมในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ค่ะ

เราจะสร้างการทําความเข้าใจ มุมมอง ความไว้ใจ รวมถึงสร้างวัฒนธรรมทีมในการอยู่ร่วมกันได้อย่างไร เมื่อสมาชิกในทีมประกอบด้วยคน ที่มาจากพื้นเพที่ต่างกัน มาจากสิ่งแวดล้อมการทํางาน และความเชื่อในวิธีการทํางานที่ต่างกัน ย่อมนําไปสู่ความเสี่ยงในการเข้าใจผิด ผิดใจ กัน หรือความผิดพลาด อคติในการอยู่ร่วมกันโดยไม่รู้ตัว คอร์สนี้มาร่วมกันเรียนรู้และพูดคุยถึงวิธีการทําความเข้าใจความแตกต่าง และวิธี การจัดการความแตกต่างนี้ เพื่อให้สามารถทํางานและสื่อสารกันอย่างเข้าใจในใจเขาใจเรา การก้าวข้ามความคิดอคติระหว่างคนไทยและญี่ปุ่น สู่การทําความรู้จักกันในตัวตนปัจเจกบุคคลนั้น ๆ และการดูแลแก้ไขปัญหาในทีมอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงร่วมกันออกแบบกิจกรรมเพื่อส่ง เสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนไทยและคนญี่ปุ่นในทีม หรือในองค์กรของเราร่วมกันค่ะ โดยคอร์สนี้จัดให้มีผู้เข้าร่วมอบรมมี ทั้งคนไทยญี่ปุ่น เพื่อให้เกิดการแชร์ความคิดเห็นและเปิดประเด็นพูดคุยถึงวิธีิคิดร่วมกัน เพื่อนําไปสู่การต่อยอด Action Plan ในการทํางานที่ ใช้ได้จริงค่ะ

 

[content_block id=1898 title=yes title_tag=h3]