HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.23 ความหวังต่อ การเติบโตของ หัวหน้างานรุ่นต่อไป
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.23 ความหวังต่อ การเติบโตของ หัวหน้างานรุ่นต่อไป

23 มี.ค. 2019

จดหมายข่าวจาก Asian Identity ฉบับประจําาเดือนมีนาคมนี้ เราได้พูดคุยกับคุณอิโนะอุเอะและคุณหญิง (จากนี้จะละคําาว่า “คุณ”) ซึ่งเป็นผู้รับ ผิดชอบงาน HR ที่บริษัท โรม เซมิคอนดัคเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ค่ะ บริษัทแห่งนี้เป็นนิติบุคคลในไทยของบริษัทโรมจําากัดของประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ เช่น เซมิคอนดัคเตอร์ เป็นต้น

หลังจากที่สาขาในไทยได้รับการก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1996 โดยทําาหน้าที่เป็นองค์กรซึ่งรับผิดชอบด้านการตลาดและการขายสินค้าของ บริษัท โรม เซมิคอนดัคเตอร์ ในไทย โดยได้ดําาเนินกิจการมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปีแล้ว เราจึงของนําาเสนอบทสัมภาษณ์ของทั้งสองท่าน ซึ่งอยู่ร่วมกับ พนักงานในทุกๆวันโดยมีความคาดหวังต้องการสร้างให้องค์กรมีวัฒนธรรมที่ส่งผลให้พนักงานแต่ละคนรู้สึกถึงพันธะสัญญาแห่งการทําางาน อย่างแข็งแกร่ง และ ให้ความสําาคัญกับความเป็นทีมเวิร์ค รวมทั้งความต้องการในการสร้างองค์กรที่จะสามารถต่อสู้ในระดับสากลได้ค่ะ

ความหวังต่อ การเติบโตของ หัวหน้างานรุ่นต่อไป


การอบรมด้าน Facilitation ซ่ึงได้เปล่ียนแปลงรูปแบบ การสื่อสารภายในองค์กรเป็นอย่างย่ิง

อันดับแรก รบกวนทั้งสองท่นแนะนําตัวคร่ว ๆ ด้วยค่ะ

อิโนะอุเอะ:หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมก็เข้าทําางานที่บริษัทเกี่ยวกับระบบข้อมูลรายใหญ่โดยประจําาอยู่ที่สําานักงานใหญ่ในโตเกียวครับ ตอนนั้น ผม ตัดสินใจเข้าทําางานที่น่ันโดยต้ังใจว่าจะเป็นวิศวกรระบบ แต่ผมรู้สึกสนใจงานฝ่ายบุคคลในตอนนั้นโดยไม่รู้ว่าทําาไมเหมือนกัน ก็เลยได้เริ่มทําาอาชีพฝ่าย บุคคลในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าท่ีฝ่ายบุคคลครับ ในช่วงปีแรก ๆ ผมทําางานที่เกี่ยวกับการคําานวณเงินเดือน และงานเกี่ยวกับสวัสดิการ หลังจากนั้น ก็ได้รับผิด ชอบงานด้านการจ้างพนักงานท่ีเป็นนักศึกษาจบใหม่ และด้านการให้ความรู้พนักงานครับ ตอนอายุ 20 ปลาย ๆ ผมได้ย้ายมาทําางานในบริษัท IT ซึ่งเป็น ธุรกิจจากต่างชาติ เพื่อขยายขอบเขตอาชีพ พอมาอยู่ที่นี่ผมก็ได้รับผิดชอบงานการจ้างพนักงานกลุ่มที่เคยมีประสบการณ์ทําางาน ส่วนใหญ่จะรับเข้ามา ทําางานตําาแหน่งที่ปรึกษา และวิศวกร ที่น่ีจ้างพนักงานกลุ่มที่มีประสบการณ์ประมาณปีละ 300 คนครับ ตอนนั้น ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างองค์กร ต่างชาติและองค์กรญี่ปุ่น ท้ังนี้องค์กรต่างชาตินั้นจะยึดติดกับผลงานมากกว่าขั้นตอน ผมได้เรียนรู้หลายอย่าง ทุกวันผ่านไปอย่างมีคุณค่าครับ ช่วง 2 ปี ที่ผมทําางานที่นั่น ความสนใจในการทําางานในต่างประเทศที่มีอยู่แล้วแต่เดิมก็เพิ่มมากขึ้น ผมจึงตัดสินใจว่าจะมาไทยโดยมีเหตุการณ์บางอย่างจูงใจผมใน ช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 2000 ครับ ตอนนั้น ผมคิดว่าอยากจะใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากญี่ปุ่นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการทําางานที่เกี่ยวข้องกับ ด้าน HR แต่ไม่ค่อยมีประกาศรับสมัครงานด้านนี้ ลําาบากอยู่เลยครับ พอดีกับที่บริษัทในปัจจุบันน้ีประกาศรับพนักงานเข้ามาดูแลงานด้านการบริหารจัดการ ในไทย แต่แล้วโชคชะตาก็ทําาให้ผมได้เข้ามาทําางานที่นี่ครับ ปัจจุบันผมทําางานที่องค์กรนี้มาประมาณ 15 ปีแล้ว ผมเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบงานด้านการบริหาร จัดการฝ่าย Administration ทั้งหมด มีทั้ง แผนกบัญชี ,แผนก IT ,แผนก logistic ,แผนกคลังสินค้า รวมถึงแผนกทรัพยากรมนุษย์ และธุรการ ครับ

หญิง:ดิฉันเรียนจบคณะนิติศาสตร์ค่ะ ตอนที่เรียนอยู่ดิฉันได้ไปฝึกงานที่บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย ดิฉันคิดว่าควรจะใช้ความรู้ที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์ ก็เลย เข้าทําางานในบริษัทท่ีปรึกษากฎหมายหลังจากเรียนจบค่ะ ทําาอยู่ 2-3 ปี ก็เร่ิมคิดว่าตัวเองจะทําาอาชีพอะไรต่อไปในอนาคต ตัวเองสนใจอะไร ทันใดนั้นก็มีรุ่นพี่ มาชักชวนให้ไปทําางานท่ีบริษัทไทยแห่งหน่ึงโดยให้ทําาหน้าท่ีฝ่ายบุคคล ดิฉันก็เลยเข้ามาทําาโดยที่ตอนนั้นยังไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้เลยค่ะ แล้วก็เริ่มอาชีพ การทําางานในฐานะฝ่ายบุคคลนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาค่ะ ตอนแรกก็สั่งสมประสบการณ์ด้วยการทําางานด้านการคําานวณเงินเดือน และงานทั่วไปในด้านฝ่าย บุคคล จึงได้เรียนรู้พื้นฐานการทําางานด้าน operation ต่างๆของฝ่ายบุคคลค่ะ แต่บริษัทนั้นเป็นองค์กรขนาดเล็ก จึงไม่ได้ให้ความสําาคัญกับงานฝ่ายบุคคล มากนัก หลังจากทําางานท่ีนั่นได้ 2-3 ปี ดิฉันก็ย้ายมาทําางานที่บริษัทโรมสาขาประเทศไทยอีกแห่งหนึ่งค่ะ ดิฉันยังคงทําางาน operation เช่นเดิม และในขณะ เดียวกันก็ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านการฝึกอบรมท่ีบริษัทแห่งนี้ด้วย และหลังจากน้ันก็ได้ย้ายไปอยู่ที่บริษัทอื่น ๆ ซึ่งก็ดูแลงานทางด้านฝ่ายบุคคลโดย รวมค่ะ เช่น งาน HR ในบริษัทเช้ือสายจีน เชื้อสายญี่ปุ่น และบริษัทเช้ือสายมาเลเซีย ด้านการวางยุทธศาสตร์งานบุคคลให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การ บริหาร และการดําาเนินการตามยุทธศาสตร์ค่ะ ตอนนั้นก็คิดว่าเราน่าจะเอาประสบการณ์การทําางานด้านการวางระบบงานบุคคล และการดําาเนินระบบงาน ต่างๆมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ แล้วโชคชะตาก็ทําาให้ดิฉันได้เข้ามาทําางานที่นี่ ปัจจุบันทําามาเกือบ 6 ปีแล้วค่ะ

ตอนที่เพิ่งเข้มทํางนที่บริษัทโรม เซมิคอนดัคเตอร์ (ประเทศไทย) คุณอิโนะอุเอะคิดว่จะต้องทําอะไรบ้งคะ

อิโนะอุเอะ:ปัจจุบันเราเติบโตเป็นองค์กรที่มีพนักงาน 100 กว่าคน ซึ่งรวมคนญี่ปุ่น 8 คน ด้วย แต่ตอนนั้นเราเป็นองค์กรเล็ก ๆ มีพนักงานราว 30 คน รวม คนญี่ปุ่นที่มาประจําาที่นี่เพียงแค่ 3 คน ตอนน้ันเรายังไม่มีฝ่ายท่ีทําางานด้านบุคคลโดยเฉพาะ แต่เรามีพนักงานหญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งทําางานด้านธุรการ ครับ เราไม่มีอะไรที่สามารถเรียกว่าระบบงานบุคคล อาจจะดูเหมือนว่ามีการกําาหนดโครงสร้างเงินเดือน และระบบการประเมินเอาไว้แต่ก็ไม่ชัดเจนครับ ผมก็ อึ้งไปเหมือนกันครับ (หัวเราะ) เราไม่มีอะไรเลย ผมทําางานด้าน HR ที่ญี่ปุ่นมาตลอดและคิดว่างาน HR มีความสําาคัญและเป็นแกนหลักขององค์กรครับ เลย เริ่มปรับปรุง และแก้ไขครับ อันดับแรก คือการวางพื้นฐาน ผมจึงเริ่มด้วยการจ้างพนักงานคนไทยที่มีประสบการณ์ด้าน HR และกําาหนดผู้รับผิดชอบงาน HR ในองค์กร พร้อมด้วยกําาหนดระบบต่าง ๆ ขึ้นมาครับ

หญิง: เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกันค่ะ ว่าลําาบากมากเพราะไม่มีระบบอะไรเลย ดิฉันเข้าทําางานที่นี่เมื่อ 6 ปีก่อน ซึ่งก็คือปี ค.ศ. 2012 ค่ะ เป็นช่วงที่คุณอิโนะอุ เอะกําาลังจัดเตรียมระบบงาน HR รวมทั้งสวัสดิการ และการปรับโครงสร้างเงินเดือน รวมทั้งกําาลังนําาระบบต่าง ๆ มาใช้งานด้วยค่ะ

อิโนะอุเอะ: เราวางโครงสร้างต่าง ๆ ด้าน HR ซึ่งก็คือการสร้างระบบงาน HR ออกแบบระบบการประเมินผล การวางโครงสร้างเงินเดือน และระบบการทําา งานใหม่ๆ เป็นต้น จากนั้นก็นําามาใช้ดําาเนินการจริง ขั้นตอนข้างต้นใช้เวลา 5 – 6 ปี ครับ เมื่อเวลาผ่านไปได้ 6 ปี เราก็เริ่มหันมาพิจารณาเรื่องการสร้าง องค์กร และการปลูกฝังทัศนคติของพนักงานครับ ตอนนั้น อัตราการลาออกสูงทีเดียวครับ ผมก็กังวลใจว่าทําาไมถึงมีคนลาออกมากขนาดนั้น พอเข้าไป รับฟังความเห็นของพนักงาน ก็พบว่าการท่ีพนักงานไม่เห็นภาพอนาคตการทําางานของตนเองในบริษัทนี้ เป็นสาเหตุใหญ่ประการหนึ่งตามที่คาดไว้เลย ครับ กล่าวคือ อยู่ที่บริษัทนี้แล้วตนเองจะเติบโตไปอย่างไรบ้าง ตนเองสามารถเป็นอะไรได้ในอนาคต ตําาแหน่งท่ีตนเองควรตั้งเป็นเป้าหมายการทําางานคือ อะไร ควรพยายามอย่างไรจึงจะไปสู่จุดหมายนั้นได้ การมองไม่เห็นภาพความเติบโตในสายอาชีพงานของตนเองในบริษัทแห่งนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ พนักงานที่ยังอายุน้อยลาออกไปครับ

นอกจากนี้ ในช่วงปี ค.ศ. 2013 เรามีพนักงานรุ่นเก่าที่อยู่มาตั้งแต่สมัยก่อตั้งบริษัทครับ ตอนที่ผม พัฒนาระบบงาน HR ขึ้น พวกเขาปรับตัวได้ช้า และไม่สามารถรองรับระบบการทําางานใหม่ได้ทัน จึงไม่สามารถ ปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ครับ พนักงานรุ่นใหม่ก็มีมุมมองในการทําางานที่รู้สึกได้ว่าคงจะเติบโต ได้ลําาบาก และคิดว่าบริษัทคงจะพิจารณาจากอายุงานมากกว่าความสามารถครับ ในช่วงเวลานั้นเป็นปัญหา ช่องว่างระหว่างวัย (Generation gap) และ ปัญหาการสอนงาน ระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า ตอนนั้นผม รู้สึกว่าเราจําาเป็นต้องจัดการแก้ไขปัญหานี้ จึงได้เร่ิมทําาระบบการสอนงาน เพื่อถ่ายทอดความรู้จากรุ่นพี่สู่รุ่น น้อง และการสร้างผู้นําาในรุ่นถัดไปครับ

คนญี่ปุ่นที่ประจําาอยู่ที่นี่ก็มีความไม่เข้าใจวิธีการทําางานของคน ไทย พวกเขาบริหารงานแบบเดียวกับที่ทําาในญี่ปุ่น วิธีการพูดจะเป็นไปในเชิง ชี้แนะและสั่งการ บางครั้งก็สั่งงานคนไทยอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจน คนไทย แม้ไม่เข้าใจก็จะไม่ถามเพราะเกรงใจหัวหน้า ตีความผิดพลาด เข้าใจกันผิด และก่อให้เกิดปัญหา ทั้งยังมีอุปสรรคด้านภาษา ลําาบากต่อการทําางานร่วม กัน รวมทั้งมีปัญหามากมายเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างคนญี่ปุ่นและคน ไทย

หญิง:ตอนนั้น สองอย่างแรกที่ต้องทําาก็คือ เราจะพัฒนาพนักงานอายุ น้อยที่มีความตั้งใจทําางานให้เติบโตได้อย่างไร และการทําาลายกําาแพงที่ขวาง กั้น (Cultural Barriers) ระหว่างคนญี่ปุ่นและคนไทยค่ะ

สําาหรับเรื่องกําาแพงกั้นระหว่างคนญี่ปุ่นและคนไทยนั้น อันดับแรกคือ การปลูกฝังทัศนคติที่จําาเป็นต่อการทําางานในไทย และการทําางานร่วมกับคนไทย เรา จึงได้จัดอบรมด้านการบริหารจัดการสําาหรับพนักงานคนญ่ีปุ่นที่ประจําาอยู่ในไทย และให้คนไทยได้เรียนรู้ด้านการส่ือสารที่ต่างวัฒนธรรม กล่าวคือ คน ญ่ีปุ่นพิจารณางานในแง่มุมต่าง ๆ อย่างไร สื่อสารโดยเกิดจากการตัดสินใจอย่างไร เราสร้างโอกาสให้คนญ่ีปุ่นและคนไทยได้เรียนรู้กันและกัน จากนั้นดิฉัน ก็รู้สึกว่าต่างฝ่ายก็ค่อย ๆ เริ่มเข้าใจความคิดของกันและกันมากข้ึนค่ะ กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่เรายังทําาอยู่ต่อเนื่องค่ะ พนักงานญี่ปุ่นที่มาประจําาในไทย น้ันมีการสับเปลี่ยนค่ะ เราจะให้ผู้ท่ีมารับหน้าที่ต่อได้เรียนรู้ส่ิงเหล่านี้เสมอ และก็พยายามให้พนักงานคนไทยที่เข้ามาใหม่ได้เรียนรู้เช่นเดียวกันค่ะ หลังจากที่ ทําาต่อเน่ืองมา ดิฉันก็รู้สึกได้จริง ๆ ค่ะว่ากําาแพงท่ีกั้นด้านจิตใจระหว่างคนญี่ปุ่น และ คนไทยนั้นได้ลดลงไปพอสมควรเม่ือเปรียบเทียบกับช่วง 2-3 ปีก่อน


ช่วยเล่ถึงกรดําเนินกรอื่น ๆ ที่เป็นไปเพื่อปลูกฝังทัศนคติของพนักงนให้ฟังได้ไหมคะ
อิโนะอุเอะ:เมื่อไม่นานมานี้ เราได้จัดอบรมเรื่อง Facilitation ครับ ว่ากันว่า Facilitator คือ ผู้มีหน้าที่ดําาเนินการประชุม ส่วน “Facilitation” ก็คือการทําางาน ส่งเสริมให้เรื่องบางอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นครับ การอบรมนี้เป็นการอบรมที่ตัวผมอยากให้เกิดขึ้นมากจริง ๆ ครับ บริษัทของเรานั้นประชุมกันบ่อยครับ ถ้าการประชุมทั้งหลายนั้นเป็นการประชุมที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพมันก็ดีครับ แต่เรามีการประชุมที่สูญเปล่าเยอะอยู่เช่นเดียวกัน ผมรู้สึกว่ามันทําาให้เสียเวลา และเล็งเห็นปัญหานี้มานานแล้วครับ ที่ว่าสูญเปล่าก็คือ การที่วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการประชุมนั้นคลุมเครือ จบการประชุมโดยไม่ได้กําาหนดอะไร เลย หรือต่อให้ตัดสินใจไปแล้วแต่ก็ไม่มีการติดตามผล เป็นต้น ครับ

หญิง:ใช่ค่ะ ดิฉันก็คิดว่ามันเสียเวลาเปล่า และไม่สามารถพูดได้ว่าการประชุมมีประสิทธิภาพดีมาก ตอนแรกที่คุณอิโนะอุเอะบอกว่าอยากจัดอบรมเรื่อง Facilitation ในบริษัท ดิฉันก็สงสัยอยู่เล็กน้อยว่าการจัดอบรมแค่เพื่อให้มีการประชุมที่มีประสิทธิภาพขึ้นนั้น จะเป็นการอบรมที่มีความหมายจริงหรือ แต่ ระหว่างที่จัดการอบรมนี้ ก็ได้ตระหนักว่าเราสามารถเรียนรู้กลยุทธ์ได้อย่างมากมายเกินกว่าที่คิดค่ะ ดิฉันรู้สึกได้จริงๆค่ะว่าการทําา Facilitation การประชุม ที่ดีนั้นจะสามารถนําาไปพัฒนาทักษะด้านการบริหารจัดการ และภาวะความผู้นําาได้เช่นเดียวกัน

อิโนะอุเอะ:ระหว่างที่ทําาการอบรม Facilitation ผู้เข้าอบรมจะต้องพิจารณาครับว่า ควรทําาอย่างไรให้ลูกน้องหรือสมาชิกในทีมออกความเห็น และควร สื่อสารกันอย่างไร แล้วก็ต้องพิจารณาด้วยว่าจะต้องทําาอย่างไรดีพวกเขาจึงจะสามารถดําาเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการประชุมได้ ผมว่า ทักษะและทัศนคติในการเป็นผู้นําา รวมทั้งการนําาตัวเองเพื่อเข้าหาคนรอบข้างก่อน นี่แหละคือ สิ่งที่จําาเป็นต่อบริษัท และก็จําาเป็นต่อการสื่อสารกันในเวลา ทําางานทั่วไปนอกเหนือเวลาประชุมด้วย ทักษะจริง ๆ ที่ได้จากการอบรมเรื่อง Facilitation นั้น ได้เปลี่ยนแปลงคุณภาพการสื่อสารระหว่างทําางานภายใน องค์กรครับ

หญิง:ในด้านการประชุมนั้น ทุกคนได้เปลี่ยนมาใช้กระดานไวท์บอร์ดกันค่ะ (หัวเราะ) ที่ ผ่านมาสมาชิกผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้กระดานกันในการประชุมเลยค่ะ นอกจากนี้ยัง ได้ข้อสรุปที่ต้องการภายในเวลาที่กําาหนด และได้ผลลัพธ์ที่มีความเป็นรูปธรรม คุณภาพ การประชุมเปลี่ยนไปมากทีเดียวค่ะ แถมดิฉันยังรู้สึกว่าสมาชิกผู้เข้าอบรมแข่งขันกันเป็น Facilitator ที่ดีที่สุดด้วยค่ะ

อิโนะอุเอะ:ภายในบริษัทก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ และ ปรากฎว่าทีมฝ่ายขายก็นําาทักษะการ ทําา Facilitation ไปใช้ประโยชน์ในการพูดคุยทางธุรกิจกับลูกค้าด้วยครับ ผมได้ยินมาว่า สมาชิกฝ่ายขายเริ่มใช้กระดานไวท์บอร์ดที่บริษัทลูกค้า นําาพาที่ประชุมไปสู่ข้อสรุป ค้นหา ความต้องการของลูกค้า แล้วทําาการสรุปการประชุมครับ

หญิง:ทักษะการทําา Facilitation นั้นจําาเป็นต้องอาศัยเทคนิคต่าง ๆ ในการสื่อสารค่ะ ควรทําาอย่างไรจึงจะดึงความสนใจของผู้เข้าร่วมประชุมไว้ได้ ควรทําาอย่างไรผู้เข้าร่วม ประชุมทุกคนจะแสดงความคิดเห็นได้อย่างทั่วถึง และการอธิบายของตนเองเป็นไปตาม หลักตรรกะทางการสื่อสารหรือไม่ รวมทั้งเทคนิคการปรับวิธีการสื่อสาร เป็นต้น ดิฉัน คิดว่ามันไม่ใช่แค่การปรับปรุงประสิทธิภาพการประชุมเท่านั้น แต่มันคือ การพัฒนาศิลปะ ในการสื่อสารโดยรวมค่ะ

อิโนะอุเอะ:ระหว่างที่อบรมเรื่อง Facilitation เราได้เรียนรู้เรื่องการ “ต้องยอมรับและ ต้องเคารพไอเดียหรือความเห็นของผู้อื่น” หลังจากอบรม ผมรู้สึกว่าการสื่อสารในทางลบนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ การปฏิเสธ หรือการลบล้างความเห็นของผู้อื่นภายในบริษัทครับ ไม่ว่าความเห็นนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราต้องรับ ฟังก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อทําาเช่นนี้ เราก็จะรู้สึกวางใจว่าอีกฝ่ายจะรับฟังไม่ว่าเราจะพูดอะไรก็ตาม ก่อให้เกิดผลกระทบในแง่บวก คือ เราจะรู้สึกว่าออกความ เห็นได้ง่ายขึ้นครับ

นอกจากการอบรมเรื่อง Facilitation แล้ว ปีท่ีแล้วเราก็ได้จัด CSV Training ภายในบริษัทครับ เป็นการอบรมที่จัดขึ้นภายในเครือบริษัทโรม ท้ังหมด พนักงานอายุน้อยท่ีถูกส่งตัวมาจากสําานักงานใหญ่เพ่ือมาเป็นพนักงานฝึกงานในไทยน้ันเป็นผู้ฝึกฝนด้วยตนเองครับ CSV Training คือ การ อบรมซึ่งเชื่อมโยงปัญหาสังคมเข้ากับคุณค่าการงานของตน จัดขึ้นเพื่อพนักงานแต่ละคนจะได้ตระหนักถึงปัญหาสังคม และนําามาเชื่อมโยงกับงานครับ เรา ได้ให้ผู้เข้าร่วมพิจารณาว่าการที่พวกเขาทําางานที่บริษัทโรมนั้น เป็นการอุทิศตนเพื่อแก้ปัญหาสังคมได้อย่างไรบ้าง การใส่ใจอุทิศตนต่อสังคมและเช่ือมโยง ถึงด้านธุรกิจ บริษัทคาดหวังอยากจะให้พนักงานทุกคนใส่ใจในการทําางาน ด้วยการเชื่อมโยงประสานกันไปทั้งสองด้านดังกล่าวครับ

หญิง:เราเห็นผลการจัด CSV Training ค่ะ มีการจัดตั้งทีมงานขึ้นเพ่ือทําาโปรเจคพิเศษภายในบริษัท หัวข้อเกี่ยวกับความปลอดภัยและอนามัย และ กิจกรรม 5ส เป็นต้นค่ะ โปรเจคที่ไทยน้ันกลายเป็นที่รู้จักของบริษัทอื่น ๆ ในเครือ เราได้รับรางวัล Best Kaizen Activity Award ในภูมิภาคอาเซียน เรา ได้รับการยกย่องจากท่านประธานบริษัทสําานักงานใหญ่ในโตเกียวโดยมีการตีพิมพ์กิจกรรมดังกล่าวในจดหมายข่าวของสําานักงานใหญ่ และเรายังได้รับใบ ประกาศนียบัตรด้วยค่ะ

อิโนะอุเอะ:สมาชิกทีมที่ทําาโปรเจคนี้ โดยหลักแล้วจะเป็นพนักงานที่เราคาดว่าจะให้ขึ้นมาเป็น Leader ในรุ่นถัดไปครับ พวกเขาอยู่ระดับถัดจากระดับ Manag- er ครับ ระยะหลังมาน้ี นอกจากการพัฒนาศักยภาพในระดับ Manager แล้วน้ัน เรายังพยายามให้ความรู้พัฒนาพนักงานระดับ Leader ด้วย ก็เลยคิดว่า พวกเขาน่าจะเข้าใจถึงส่ิงท่ีบริษัทคาดหวังไว้ครับ

เม่ือก่อน ตอนที่บริษัทกําาลังขยายตัวข้ึน ก็จะมีกําาแพงกั้นระหว่างแผนกต่าง ๆ การส่ือสารของแต่ละแผนก รวมท้ังการแชร์ข้อมูลต่าง ๆ ถูก จําากัดอยู่ภายในแผนกนั้น ๆ เมื่อก่อนไม่ค่อยมีการสร้างความสัมพันธ์ภายในบริษัท และการจะทําาอะไรโดยร่วมมือกันท้ังบริษัทก็เป็นไปได้ยากครับ ผู้ที่เปลี่ยน บรรยากาศใหม่ ๆ ภายในองค์กรก็คือพนักงานระดับ Leader ที่อายุยังน้อย และกําาลังจะข้ึนมาเป็นผู้นําาในรุ่นต่อไปครับ ผมคิดว่าเราสามารถทําาให้องค์กร เป็นปึกแผ่นได้ด้วยการพัฒนาพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างแผนกด้วยครับ

กลุ่มบุคลากรที่เป็นแกนหลักสําาคัญขององค์กรมีการเปลี่ยนรุ่นไปเร่ือย ๆ ดังน้ันวิธีการเข้าหาแต่ละกลุ่มในการให้ความรู้และพัฒนาก็แตกต่างกัน ไปด้วยครับ ผู้คนมักพูดกันว่าที่ประเทศไทย การอบรมส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Lecture แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารูปแบบท่ีว่านี้จะเหมาะสมกับพนักงานกลุ่มมิล เลนเนียล (Millennial) ซ่ึงมีอายุในช่วง 20 ปีและช่วง 30 ปีในปัจจุบัน พนักงานคนญี่ปุ่นที่ถูกส่งตัวมาประจําาที่ไทยก็มีอายุน้อยลงด้วยเช่นกัน เราก็ต้องปรับ เปลี่ยนวิธีการเข้าหาพวกเขา โดยเลือกใช้วิธีท่ีจะทลายกําาแพงกั้นความต่างด้านอายุและวัฒนธรรมครับ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมมองว่า HR จําาเป็นต้องมีการรับรู้ว่าพนักงานคิดอะไร ต้องการอะไร อยากเป็นอะไร และต้องสามารถคิดหาวิธีการให้ ความรู้ที่เหมาะสมกับคนรุ่นนั้น ๆ ได้ครับ

ดิฉันคิดว่บริษัทแห่งน้ีได้สร้งวัฒนธรรมองค์กรที่ม่ันคงทีเดียว หลังจกนี้ทั้งสองท่นมีแผนอย่งไรต่อคะ

หญิง:สร้างองค์กรที่คนไทยสามารถคิดเองและดําาเนินการเองได้โดยพึ่งพาคนญ่ีปุ่นให้น้อยลงในด้านการบริหารจัดการค่ะ เพื่อการนี้ เราจึงพยายามสร้าง และส่งเสริมให้ Leader ในรุ่นถัดไปมีทัศนคติในการดําาเนินสิ่งต่าง ๆ โดยเกิดจากความตั้งใจของตนเองค่ะ นอกจากนี้ ก็อยากจะปรับปรุงระบบงาน HR ให้ เป็นระบบที่มีความย่ังยืน เป็นที่ยอมรับของพนักงานได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่องค่ะ

อิโนะอุเอะ:ด้าน HR ในส่วนของระบบต่าง ๆ และแผนการพัฒนาบุคลากรนั้น เรามีรากฐานท่ีดีพอควร ท่ีเหลือก็คือการพิจารณาว่าระบบต่างๆและการ พัฒนาบุคลากรมีความสัมพันธ์กับผลงานในระดับใด หลังจากนี้ผมอยากจะวิเคราะห์ประเด็นนี้ครับ ผมตั้งใจว่าจะวิเคราะห์และตรวจสอบความสัมพันธ์ ระหว่างค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ที่ได้ อยากวิเคราะห์ว่าเราสามารถสร้างองค์กรที่สามารถสร้างผลลัพธ์ หรือมีผลงานในระดับสูงได้หรือไม่

เคยมีใครบอกกับทั้งสองท่นเกี่ยวกับกรสร้งองค์กรในไทย เช่น บอกว่ “คนของบริษัทโรม เซมิคอนดัคเตอร์ (ประเทศไทย) คือคนลักษณะอย่งน้ันอย่งน้ีนะ”

อิโนะอุเอะ:เคยมีคนพูดว่า “มีพนักงานจําานวนมากที่มีความรับผิดชอบสูง และสามารถรักษาพันธสัญญาไว้ได้” ครับ ผมอยากสร้างให้องค์กรแห่งนี้เป็น ศูนย์รวมของคนที่สามารถชักจูงคนรอบข้าง สามารถจูงใจทั้งหัวหน้างานและลูกน้อง ให้สามารถขับเคลื่อนเพ่ือ “มุ่งสู่เป้าหมาย” ให้ประสบผลสําาเร็จให้ได้ ครับ ผมต้ังเป้าหมายอยากจะพัฒนาบริษัทให้เป็นศูนย์กลางในฐานะผู้นําาของเครือโรมในอาเซียน ซึ่งในปัจจุบันคือสิงคโปร์ และให้เป็นองค์กรท่ีสามารถต่อสู้ ในระดับสากลได้ครับ

หญิง:คิดว่าอยากให้มีคนมาบอกกับเราว่า “บริษัทของเรามีความเป็นทีมเวิร์ค และมีการประสานงานที่ยอดเยี่ยม” ซึ่งหากมองดูพนักงานระดับ Leader ใน ปัจจุบัน ก็จะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่มีกําาแพงกั้นระหว่างแผนก เขาใส่ใจอย่างยิ่งในการร่วมมือกันแล้วดําาเนินงานไปด้วยกันทั้งบริษัทค่ะ คิดว่าเป็นเรื่องท่ีดีมาก แล้วก็อยากให้พนักงานระดับถัดจาก Leader สืบทอดส่ิงนี้ต่อไปค่ะ

ทั้งสองท่นมีประเด็นใดที่อยกให้เจ้หน้ท่ี HR ของบริษัทโรม ประเทศไทย ใส่ใจเป็นพิเศษไหมคะ เช่น ควมคดหวังต่อเจ้หน้ที่ HR มือใหม่ เป็นต้น

อิโนะอุเอะ:อยากให้รับฟังเสียงที่พนักงานปิดบังไว้ครับ เขาลําาบากเรื่องอะไร คิดอย่างไร ทําาความเข้าใจแก่นสารเหล่านั้นแล้ววิเคราะห์ แล้วพิจารณาด้วย ตนเองว่าควรทําาอะไร จากน้ันก็อยากให้มานําาเสนอกับผมและคุณหญิงครับ เพราะผมคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่จะทําาให้เราสามารถดําาเนินงานด้าน HR ได้ดียิ่ง ขึ้น ผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่งหากได้รับฟังความเห็นที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น และข้อเสนอใหม่ ๆ ครับ

หญิง:ภาษาไทยใช้คําาว่า “ชนะใจ” หมายถึงความสามารถที่จะทําาให้เกิดการยอมรับเชื่อใจ และได้รับความไว้วางใจจากพนักงานค่ะ ถ้าเราไม่สามารถทําาให้ พนักงานยอมรับ และเช่ือใจเราได้ เราก็ไม่สามารถท่ีจะชนะใจพนักงานได้ ต่อให้เราใช้มาตรการต่าง ๆ ในด้าน HR ท่ีสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน มันก็จะไม่หยั่ง รากลึก และไม่เข้าถึงจิตใจของพนักงานได้ค่ะ ดังนั้นจึงอยากให้การดําาเนินงานต่าง ๆ (ด้าน HR) ได้เข้าถึงพนักงานและได้รับการยอมรับด้วยใจจริงค่ะ รวม ทั้งต้องการให้พนักงานสามารถสร้างศักยภาพในการทําางาน และร่วมมือไปพร้อม ๆ กัน ให้ไปในทิศทางอันเดียวกันกับเป้าหมายของบริษัทค่ะ

อิโนะอุเอะ:คิดว่สิ่งท่ีสําคัญที่สุดก็คือ กรที่ HR เข้ใจ และ ชนะใจของพนักงนนะครับ