HOME > Articles > AI NEWSLETTER Vol.50 “เลื่อนตำแหน่งผู้จัดการตามแนวคิด Graduation หรือ Admission ดี?”
Newsletter

AI NEWSLETTER Vol.50 “เลื่อนตำแหน่งผู้จัดการตามแนวคิด Graduation หรือ Admission ดี?”

23 มี.ค..2022

สำหรับจดหมายข่าวฉบับที่ 50 นี้ ขอเสนอประเด็นเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งผู้จัดการ “เราควรดำเนินการตามแนวคิด Graduation หรือ Admission ดี?”

 

“เลื่อนตำแหน่งผู้จัดการตามแนวคิด Graduation หรือ Admission ดี?”

“การที่ผู้จัดการไม่สามารถสร้างผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

คือ ประเด็นหนึ่งที่ทำให้องค์กรหลายแห่งต้องกุมขมับ

 “บริษัทเรามีผู้จัดการที่ยังมีความสามารถไม่เพียงพอ และเป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีให้แก่คนรอบข้าง เราควรจะทำอย่างไรดี” นี่เป็นคำถามที่พบบ่อยในงานสัมมนาต่าง ๆ ของทาง Asian Identity คิดว่าน่าจะเป็นประเด็นที่ทำให้องค์กรหลายแห่งรู้สึกกังวลใจไม่น้อย

ผู้จัดการนั้น เปรียบได้กับเสาหลักขององค์กร ถ้าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าวมีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสม ก็มักจะส่งผลเสียต่อองค์กรเป็นอย่างยิ่ง นอกจากแรงจูงใจในการทำงานที่อาจจะลดลงแล้ว สมาชิกในทีมดังกล่าวก็จะไม่พยายามอย่างเต็มที่ (คิดว่า “ทำแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว”) เพราะยึดเอาพฤติกรรมของผู้จัดการตนเองเป็นตัวอย่าง ที่แย่ที่สุดก็คือ ผู้จัดการประเภทนี้อาจจะไม่แจ้งข้อมูลการทำงานภายในแผนกของตนให้แก่ฝ่ายบริหาร และอาจจะนำมาซึ่งปัญหาครั้งใหญ่ได้ในท้ายที่สุด

ถ้าเป็นที่อเมริกาหรือสิงคโปร์ คนกลุ่มนี้มักจะถูกเลิกจ้างโดยผ่านกระบวนการตามปกติ แต่ในประเทศไทย การเลิกจ้างก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายไม่น้อยอย่างที่ทุกท่านน่าจะทราบกันดี นอกจากนี้ ถ้าไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว องค์กรก็ไม่สามารถลดตำแหน่งหรือเงินเดือนของพนักงานได้

ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงต้องปล่อยให้ผู้จัดการซึ่งไม่มีศักยภาพเพียงพออยู่ในองค์กรต่อไป ส่งผลให้เหล่าผู้บริหารทั้งหลายต้องกุมขมับอยู่เรื่อยไป

 

Graduation Style และ Admission Style

ทำไมบุคลากรกลุ่มนี้ถึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้จัดการ? เพื่อทำความเข้าใจประเด็นข้างต้น ผมขออธิบายแนวคิด 2 ประการเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง กล่าวคือ แนวคิดแบบ Graduation Style และ Admission Style

“แนวคิดแบบ Graduation Style คือ การให้พนักงานเลื่อนตำแหน่งเมื่อสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขด้านการทำงานในระดับปัจจุบันได้สำเร็จ คนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้จัดการก็คือ คนที่สามารถปฏิบัติงานในระดับก่อนหน้าได้ตามที่องค์กรคาดหวัง เช่น สามารถเป็น Leader ที่ดีได้ องค์กรจึงพิจารณาให้เลื่อนสู่ระดับที่สูงขึ้น

ในทางกลับกัน  “แนวคิดแบบ Admission Style คือการที่องค์กรตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งให้แก่พนักงานคนหนึ่งเมื่อเห็นว่า เขาน่าจะสามารถปฏิบัติงานในระดับที่สูงกว่าเดิมได้ เท่ากับว่า ต่อให้บุคคลหนึ่งสามารถปฏิบัติงานในฐานะ Leader ได้ดี ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะปฏิบัติงานในฐานะผู้จัดการได้ดีด้วย หากพนักงานคนหนึ่งสามารถปฏิบัติงานในปัจจุบันได้ดี ก็จะมีสิทธิ์ในการได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะได้รับการเลื่อนขั้นโดยอัตโนมัติ

วัฒนธรรมการเลื่อนตำแหน่งในสังคมไทยและญี่ปุ่นนั้นยังค่อนข้างเป็นไปตามระดับความอาวุโส องค์กรจำนวนมากมักจะเลื่อนตำแหน่งให้พนักงานโดยมองเสมือนว่าเป็น “การจบการศึกษาในขั้นปัจจุบัน (Graduation)” เมื่อเลื่อนตำแหน่งตามแนวคิด “Graduation Style” องค์กรจะตัดสินใจโดยดูจาก “ผลงานในปัจจุบัน” การแสดงความเห็นคัดค้านเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เรียกว่าเป็นข้อดีของสไตล์นี้ เนื่องจากเป็นระบบการเลื่อนตำแหน่งที่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น

แต่ในกรณีที่การเลื่อนตำแหน่งส่งผลให้พนักงานต้องเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของตนไปอย่างมาก เช่น การเลื่อนขึ้นเป็นผู้จัดการ องค์กรอาจจะไม่สามารถประเมินได้อย่างมีประสิทธิภาพว่า พนักงานมีความเหมาะสมกับตำแหน่งใหม่มากน้อยพียงใด ส่งผลให้เกิดกลุ่มบุคลากรที่ไม่สามารถสร้างผลงานได้ตามที่องค์กรคาดหวัง นี่คือข้อเสียของแนวคิดแบบ Graduation Style เนื่องจากองค์กรไม่ได้ประเมินว่า พนักงานมีคุณสมบัติที่เหมาะจะดำรงตำแหน่งผู้จัดการหรือไม่ ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีบางคนซึ่งไม่สามารถแสดงผลงานได้ตามที่คาดหวัง

เมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น องค์กรก็มักจะเติบโตตามไปด้วย จึงยังพอมีที่ทางให้คนกลุ่มนี้ปฏิบัติงานอยู่ในองค์กร แต่เมื่อเศรษฐกิจเกิดการชะงักตัว องค์กรก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย ในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง หากไม่คัดเลือกคนอย่างรัดกุม องค์กรก็จะมีผู้จัดการจำนวนมากเกินไป ส่งผลให้ไม่สามารถแบ่งสรรค่าตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจจะทำให้บุคลากรที่มีศักยภาพสูงลาออกจากองค์กร

การที่องค์กรมองว่า “พนักงานคนหนึ่งตั้งใจทำงานมาตลอด ก็เลยเลื่อนตำแหน่งให้เขา” เป็นแนวคิดแบบ Graduation Style แต่มีองค์กรจำนวนมากที่จำเป็นต้องละทิ้งแนวคิดการเลื่อนตำแหน่งให้พนักงานที่ทำงานมานานหลายปี และเปลี่ยนมาใช้แนวคิด “Admission Style” แทน

 

วิธีการเลื่อนตำแหน่งตามแนวคิด Admission Style

เราควรริเริ่มระบบการเลื่อนตำแหน่งตามแนวคิด Admission Style อย่างไรดี? โดยทั่วไปแต่ละองค์กรน่าจะจำเป็นต้องดำเนินการดังนี้

①   กำหนดคำนิยามของงานในแต่ละระดับ (เกรด)②   มอบหมายให้พนักงานได้มีโอกาสปฏิบัติงานในระดับที่สูงกว่าเกรดปัจจุบันของตน 

③   ให้หัวหน้างาน Feedback พนักงานเพื่อบอกถึงประเด็นที่พนักงานควรพัฒนตนเอง 

④   จัดการทดสอบเพื่อเลื่อนตำแหน่งพนักงาน

 

① อันดับแรกคือการกำหนดคำนิยามของงานในแต่ละระดับหรือแต่ละเกรด เป็นที่แน่นอนว่า ถ้าไม่มีการระบุว่า งานในแต่ละเกรดมีความหมายอย่างไร เราก็ย่อมไม่รู้ว่า องค์กรคาดหวังให้พนักงานในแต่ละเกรดปฏิบัติงานอย่างไร เมื่อไม่มีสิ่งที่เป็นเกณฑ์การประเมิน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า ใครเหมาะจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ดังนั้น คำนิยามของงานในแต่ละเกรดจึงเป็นสิ่งที่แต่ละองค์กรจำเป็นต้องมี

ทั้งนี้ กรณีที่กำหนดเกรดการทำงานโดยอ้างอิงจากความสามารถ ก็ควรขึ้นต้นคำนิยามด้วยคำว่า “สามารถ…” กรณีที่กำหนดเกรดการทำงานโดยอ้างอิงจากเนื้อหางาน ก็ควรขึ้นต้นคำนิยามด้วยคำกริยาโดยตรง คำนิยาม 2 ประเภทนี้อาจจะแตกต่างกันในเชิงความหมาย แต่ในกรณีส่วนใหญ่ ก็จะถูกนำมาใช้งานจริงในลักษณะที่ไม่ต่างกันนัก

 

② นอกจากนี้ องค์กรควรมอบหมายให้พนักงานได้มีโอกาสปฏิบัติงานในระดับที่สูงกว่าเกรดของตน ขั้นตอนนี้จะส่งผลให้พนักงานได้รับมอบหมายให้ทำงานในระดับที่เกินกว่าเกรดในปัจจุบันของตน องค์กรจึงจำเป็นต้องอธิบายให้พนักงานเข้าใจด้วยว่า นี่คือโอกาสที่จะต่อยอดไปสู่การเลื่อนตำแหน่ง กรณีที่มอบหมายงานโดยไม่อธิบายให้พนักงานเข้าใจ พนักงานอาจจะมองว่า ตนถูกกดดันให้ทำงานที่ยากเกินตัว ดังนั้น องค์กรจึงควรจะสื่อสารว่า องค์กรคาดหวังว่า พนักงานคนดังกล่าวจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้จัดการในอนาคต

 

③ เมื่อทำการประเมินผลงาน ผู้ประเมินก็ควรถือโอกาสบอกกับพนักงานด้วยว่า เขายังมีจุดไหนที่ควรพัฒนาหากเขาต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ทั้งนี้ องค์กรจะยังประเมินพนักงานดังกล่าวโดยอ้างอิงคำนิยามของเกรดในปัจจุบัน ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนการพัฒนาบุคลากรซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หลายครั้งที่บุคลากรตั้งใจทำงานเป็นอย่างดีในฐานะพนักงานคนหนึ่ง แต่หากมองจากจุดยืนของคนเป็นผู้บริหาร เขายังคงมีข้อบกพร่องในบางส่วน การที่องค์กรมองเห็นถึงข้อบกพร่องนั้น และเข้าไปมีส่วนในการปรับปรุงพฤติกรรมการทำงานของพนักงาน คือขั้นตอนการส่งเสริมให้พนักงานได้รับการเลื่อนตำแหน่งในอนาคต

 

④ องค์กรที่จัดการทดสอบเพื่อเลื่อนตำแหน่งนั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ขั้นตอนข้างต้นอาจจะยุ่งยากก็จริง แต่ผมคิดว่า เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง องค์กรเชื้อสายญี่ปุ่นนั้นจัดทดสอบแบบข้อเขียนกันมาอย่างยาวนาน แต่การทดสอบประเภทนี้ไม่สามารถวัดระดับทักษะการบริหารจัดการได้เสมอไป จึงเสื่อมความนิยมไปเรื่อย ๆ ในช่วงที่ผ่านมา

ในทางกลับกัน วิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคือ การสอบสัมภาษณ์โดยผู้สัมภาษณ์จะตั้งคำถามเพื่อให้ผู้เข้าสัมภาษณ์แสดงความสามารถในการตัดสินใจ หรือการทดสอบโดยองค์กรให้ผู้เข้าสัมภาษณ์วิเคราะห์ปัญหาหนึ่งและนำเสนอผลงาน คนที่สอบตกในปีนี้จะยังมีโอกาสเข้าสอบในปีถัดไปหากได้รับคะแนนประเมินผลงานที่ดี วิธีการเหล่านี้อาศัยเวลาในการคัดเลือก แต่ผมขอแนะนำให้คุณผู้อ่านลองนำไปใช้ เนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการประเมินทักษะการบริหารจัดการ

นอกจากนี้ จะเป็นการดีเป็นอย่างยิ่ง หากแต่ละองค์กรลองนำวิธีการข้างต้นมาผสานกัน และปรับเปลี่ยนมาเลื่อนตำแหน่งตามแนวคิด Admission Style แทน

 

ทำอย่างไรกับคนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งตามแนวคิด Graduation Style ไปแล้ว

สุดท้ายนี้ ผมขอกลับไปยังประเด็นที่ผมกล่าวถึงในตอนต้น เราจะทำอย่างไรกับคนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการตามแนวคิด Graduation Style ไปแล้ว?

เมื่อการเลิกจ้างหรือลดตำแหน่งไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีจัดการที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด น่าจะเป็นวิธีดั้งเดิม กล่าวคือ ประเมินผลงานพนักงานอย่างเคร่งครัด และทำให้พนักงานตระหนักถึงจุดที่ตนยังทำได้ไม่ดีพอ แน่นอนว่าในด้านการปรับขึ้นเงินเดือน ก็ให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดด้วย กรณีที่ผลงานไม่เป็นที่น่าพึงพอใจมาก องค์กรสามารถพิจารณาไม่ปรับขึ้นเงินเดือนได้ เป็นการกระทำที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย

แต่ที่สำคัญคือ องค์กรต้องอธิบายผลการประเมินข้างต้นอย่างจริงจังต่อหน้าอีกฝ่าย หลายองค์กรมักจะกลัวการต่อต้านจากผู้จัดการที่เป็นปัญหา จึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะให้ Feedback แต่การไม่เผชิญหน้าอาจส่งผลให้ปัญหาเลวร้ายยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงควรแจ้งผลการประเมิน และให้ Feedback เพื่อกระตุ้นให้พนักงานพัฒนาตนเอง

กรณีที่พนักงานมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแก่การเป็นผู้จัดการ องค์กรก็ไม่ควรให้เขามีลูกน้องในสังกัด องค์กรสามารถยับยั้งผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กรได้ด้วยการจำกัดอำนาจการสั่งงานและสิทธิ์การประเมินผลงาน โดยไม่ต้องลดตำแหน่งผู้จัดการคนดังกล่าว

การดำเนินการข้างต้นเป็นเรื่องน่าลำบากใจไม่น้อย สร้างความตึงเครียดอย่างหนักให้แก่ทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าในองค์กรมีพนักงานรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพมากกว่า องค์กรก็ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องอนาคตด้านการงานของคนกลุ่มนี้ อาจกล่าวได้ว่า การหาวิธีการรับมือโดยพิจารณาจากจุดยืนของผู้บริหาร และการคำนึงถึงปรัชญาหรือจุดมุ่งหมายขององค์กรรวมทั้งความพึงพอใจของลูกค้านั้น เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงและฝ่าย HR ก็ว่าได้

ผมขอจบจดหมายข่าวฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่าน

 

* ฉบับภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ครับ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอ่านด้วยนะครับ! คลิกที่นี่

* ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรระดับผู้จัดการชาวไทยและญี่ปุ่น อ่านที่นี่

* ข้อเกี่ยวกับคอร์สพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรรูปแบบ In-house คลิกที่นี่

 

Credit:
Picture by Andrea Piacquadio from Pexels
Picture by cottonbro from Pexels
Picture by Brendan Church from Unsplash
Picture by John Schnobrich from Unsplash
Picture by Joshua Hoehne from Unsplash